มองเห็นอนาคต ลิเวอร์พูล 2.0 ของคล็อปป์

มองเห็นอนาคต ลิเวอร์พูล 2.0 ของคล็อปป์
เป็นหนึ่งคะแนนที่แฟนหงส์คงรู้สึกโล่งอก เหมือนได้กำไร..

ไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้.. โดนยิงนำไปก่อน.. โอกาสใกล้เคียงที่จะได้ประตูแทบไม่มี.. แต่ทำประตูตีเสมอได้และกลับบ้านพร้อมคะแนนติดมือ

บางเกมเราเล่นไม่ดีแต่มีแต้ม บางเกมเราเล่นดีอาจไม่มีแต้ม เกมนี้ในภาพรวมอาจไม่ถึงกับเป็นการไล่บดขยี้พับสนามบุกอยู่ข้างเดียวแต่ถ้ามีใครที่น่าจะเป็นผู้ชนะก็คงต้องชูมือให้ทีมเรือใบสีฟ้าที่คุมเกมและสร้างสรรค์โอกาสต่างๆ ได้มากกว่า

พูดในภาษาที่เข้าใจง่ายๆ ว่าถ้าเป็นมวย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็คงชนะคะแนนไปแล้ว เพียงแต่นี่มันฟุตบอล เกมที่ไล่ขย่มกันมากกว่านี้แล้วแพ้ยังมีให้เห็นมากมาย

บิ๊กแมตช์คู่นี้ชวนให้รู้สึกสนุกยิ่งขึ้นตั้งแต่เห็นการจัดตัว โดยเฉพาะฝั่งซิตี้ที่หยอดขุนพลใส่ในแต่ละตำแหน่งได้อย่างโหดเหี้ยม

เออร์ลิง ฮาลันด์ ฮูเลียน อัลวาเรซ ฟิล โฟเด้น แบร์นาร์โด้ ซิลวา เฌเรมี่ โดกู..

โรดรี้ มานูเอล อคานจี ไคล์ วอล์คเกอร์ รูเบน ดิอาส เนธาน อาเก้ เอแดร์ซอน..

นี่คือชุดที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ส่งลงสนามในนัดนี้ ใช้รูปแบบเซนเตอร์แบ๊กสามคน ดัน อคานจี ไปยืนกองกลางร่วมกับ โรดรี้ และตัวรุกจัดๆ สี่คนยืนเป็นแนวอยู่ข้างหลังหน้าเป้าฮาลันด์

ไม่มีเก็บ ไม่มีกั๊ก แต่สิ่งที่น่าสนใจคือตัวสำรองของพวกเขาไม่เหลือคนที่จะลงมาเพิ่มมิติในเกมรุกเลยนอกจาก ออสการ์ บ็อบบ์ ดาวรุ่งวัย 20 ปี การเจ็บยาวของ เควิน เดอบรอยน์ ความไม่สมบูรณ์ของ แจ๊ค กรีลิช รวมทั้งการปล่อย โคล พาลเมอร์ ออกไป เมื่อผสานกับการจัดตัวรุกลงสนามแบบเต็มพิกัดทำให้โฉมหน้ากำลังสำรองของเป๊ปในเกมนี้เป็นอย่างที่เห็น

การที่เป๊ปไม่เปลี่ยนตัวผู้เล่นเลยแม้แต่คนเดียวตลอด 90 นาทีและโดยเฉพาะหลังถูกยิงตีเสมอที่จำเป็นต้องเร่งเครื่องอีกก๊อกก็อาจจะด้วยเหตุผลนี้ เพราะแม้เรี่ยวแรงจะถดถอยลงไปแต่เกมในสนามยังครองบอลได้ และที่สำคัญคือข้างสนามไม่มีใครที่เป็นตัวเปลี่ยนเกม

คล้ายกับเป๊ปเกหมดหน้าตักเลยตั้งแต่ 11 ขุนพลตัวจริง

ขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เลือกใช้ เคอร์ติส โจนส์ ลงสนามในแดนกลางร่วมกับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โดมินิก โซโบสไล เลือกใช้ โฌแอล มาติป ยืนเซนเตอร์แบ๊กคู่กับ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เลือก คอสตาส ซิมิกาส เป็นแบ๊กซ้าย และเลือก ดาร์วิน นูนเญซ กับ ดีโอโก้ โชต้า ลงเล่นก่อน หลุยส์ ดิอาซ และ โกดี้ คักโป

ไม่มีตรงไหนที่ผิดคาดในระดับต้องเลิกคิ้ว โจนส์ กับ ไรอัน กราเฟนแบร์ค คือ 2 คนที่ต้องแย่งตำแหน่งตัวจริงกันนัดต่อนัดอยู่แล้ว แม้หลายคนจะเชียร์กราเฟนแบร์คแต่ โจนส์ ก็ได้รับความไว้วางใจจากคล็อปป์อยู่บ่อยๆ

แต่เกมนี้ไม่ใช่เกมที่ดีเท่าใดนักของ เคอร์ติส โจนส์ มีความลังเลไม่กล้าปล่อยบอลในบางจังหวะจนกลายเป็นออกบอลช้าและเสียการครองบอล เป็นหนึ่งในเกมที่เขาคงผิดหวังผลงานของตัวเอง และว่ากันด้วยผลงานในสนามของกราเฟนแบร์คที่เด่นขึ้นเรื่อยๆ โจนส์คงต้องเหนื่อยทีเดียวกับการแย่งตำแหน่งตัวจริงหลังจากนี้

แดนกลางของลิเวอร์พูลเป็นรองเจ้าถิ่น ด้วยจำนวนผู้เล่นของซิตี้มากกว่าในลักษณะ 4 ต่อ 3 แบร์นาร์โด กับ อัลวาเรซ ขยับช่วยต่อเกมกับ โรดรี้ และ อคานจี จ่ายบอลออกซ้ายขวาให้ โฟเด้น กับ โดกู โดยเฉพาะฝั่งซ้ายที่ปีกเบลเจี้ยนปั่นป่วนเกมรับทางขวาของหงส์แดงได้ต่อเนื่อง

ลิเวอร์พูลเองก็เลือกที่จะเล่นอย่างรัดกุมไม่ผลีผลามเปิดหน้าแลก ถ้าจะลองเปรียบเทียบกับสิ่งที่เชลซีทำในเกมเสมอ 4-4 ก่อนพักเบรกทีมชาติก็จะเห็นความแตกต่างในการเลือกใช้กลยุทธของคนเป็นผู้จัดการทีม เพราะเกมนั้นสิงโตน้ำเงินครามของ เมาริซิโอ โปเชตติโน่ บุกใส่เหมือนมวยแลกหมัด

แน่นอนแฟนลิเวอร์พูลก็คงมั่นใจในประสิทธิภาพเกมเพรสซิ่งของทีม ถ้าลุยใส่ซิตี้เลยก็น่าจะมีอะไรให้ลุ้นแบบได้เสีย ถ้าแย่งบอลได้ก็อยู่ในพื้นที่ทำประตู อาจจะทะลวงตาข่ายขึ้นนำไปก่อน หรืออาจจะเป็นฝ่ายที่เล่นได้ดีกว่า

แต่ในทางกลับกันถ้าไล่บีบแย่งด้วยความเข้มข้นแล้วเอาไม่อยู่.. พื้นที่ด้านหลังที่เปิดโล่งก็จะกลายเป็นการเชื้อเชิญให้ซิตี้เล่นงานทันทีเหมือนกัน

พิจารณาแล้วคล็อปป์คงเห็นว่าถ้าชวนทะเลาะลุยใส่ซิตี้เลยจะความเสี่ยงมากกว่า อย่าลืมว่ามันคือเกมที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ซึ่งเจ้าถิ่นชนะรวดมา 23 เกมเข้าไปแล้ว เป้าหมายที่หนึ่งคะแนนไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร ทุกคะแนนมีความหมายและต้องวางแผนให้รอบคอบที่สุดเพื่อให้ได้คะแนนที่ต้องการนั้นมา

การไปเยือนซิตี้แล้วได้ผลเสมอกลับมาไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวัง เราจึงได้เห็นลิเวอร์พูลเลือกเล่นแบบนี้ คือยืนคุมพื้นที่ในแดนตัวเอง จ้องหาจังหวะชิงบอลเพื่อตอบโต้กลับ ไม่ได้ขยับทุกคนขึ้นไปสูงไล่บีบเอาบอลตั้งแต่ในแดนคู่แข่ง กองหลังดันแนวยืนไฮไลน์กลางสนามอย่างเวลาเล่นกับทีมเล็ก

เจอกับซิตี้ ต้องละเอียดที่สุด แม้จะต้องเล่นในเกมที่ตัวเองไม่ถนัด

อันที่จริงมันก็เป็นดาบสองคมเหมือนกันนะครับ หนึ่งคือลิเวอร์พูลไม่ได้เล่นแบบนี้บ่อยๆ สองคือการที่ทีมซึ่งมีธรรมชาติเป็นเกมบุกจะเลือกใช้กลวิธีแบบตั้งรับ แม้นักเตะหงส์แดงจะเคยเล่นแบบนี้มาบ้างแต่ก็ควรจะต้องมีการซักซ้อมทำความเข้าใจสำหรับเกมนั้นๆ อย่างเต็มที่ ทว่ามันกลับเป็นช่วงที่ต้องเจอโปรแกรมฟีฟ่าเดย์พอดี กว่าทุกคนจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งก็แทบไม่เหลือเวลาเท่าไหร่

ถามว่าเล่นได้ไหม มันก็เล่นได้ แต่เตรียมตัวมาพร้อมเต็มที่กับเกมรับอย่างนี้ไหม สำหรับเกมนี้อาจจะไม่ถึงระดับนั้น

ใจผมย่อมอยากเห็นทั้งสองทีมเล่นแบบที่ตัวเองถนัดที่สุด กับซิตี้นั้นไม่ต้องห่วงเกมไหนก็เกมนั้นขุนพลของเป๊ปขึงเกมเปิดหน้าบุกเข้าใส่อยู่แล้ว แต่กับลิเวอร์พูลน่าสนใจว่าถ้าพร้อมแลกแบบทีต่อที ฟูลแบ๊กเติมเกมบุก ขยับแนวหลัง-กลาง-หน้า ขึ้นไปสูงกว่านี้จะกดดันซิตี้ได้ขนาดไหน อีกอย่างก็เป็นการวัดด้วยว่าช่องว่างระหว่างทั้งสองทีมอยู่ในระดับไหน

แต่เข้าใจดีถึงการเลือกกลยุทธของคล็อปป์ ฟุตบอลลีกเอาความรู้สึกมาอยู่เหนือเหตุผลไม่ได้ อย่าลืมว่าฤดูกาลที่แล้วก็ถูกถล่มกลับมา 1-4 เพราะฉะนั้นไปเยือนซิตี้ ไม่แพ้ไว้ก่อน เป้าหมายนี้โอเค แล้วจะใช้วิธีการไหนที่ทีมมีโอกาสไม่แพ้มากที่สุดมันก็อาจจะต้องเป็นวิธีนี้ เล่นแนวหลังดันสูง โอกาสได้ประตูสูง แต่โอกาสโดนก็สูงตามไปด้วย

High risk, high return เดิมพันแพงเกินไปไม่คุ้มค่าเสี่ยง รับให้รัดกุมแล้วใช้ต้นทุนจากเกมรุกที่อันตรายเป็นอาวุธน่าจะเหมาะกว่า โอกาสยิงได้อาจจะน้อยลงแต่โอกาสเสียประตูก็น้อยตาม

หลังจากพลาดถูกยิงนำตั้งแต่นาทีที่ 27 เกมของลิเวอร์พูลก็ยังไม่ได้กระโจนพรวดพราดเร่งเกมว่องไวเพื่อทวงประตูคืนทันที มันอาจจะเพราะยังเหลือเวลาอีกมาก เล่นอย่างอดทนไปก่อนอย่าเพิ่งเสียประตูเพิ่ม โอกาสย่อมมีเข้ามาเสมอ

ผมรอดูว่าลิเวอร์พูลจะเริ่มเปิดเกมแลกในช่วงไหน ตั้งแต่เริ่มครึ่งหลังเลย หรือหลังเกมผ่านไปสักหนึ่งชั่วโมง หรือช่วง 15-20 นาทีสุดท้าย ดูเหมือนว่าคล็อปป์จะกำหนดให้เป็นอย่างหลังสุดเพราะเกมของหงส์แดงเมื่อเริ่มครึ่งหลังก็ยังไม่ได้เร่งให้เร็วขึ้น ไม่ได้ไล่บีบแย่งบอลมาครองเพื่อเปิดหน้าบุก ยังไม่ได้สร้างความกดดันใส่ซิตี้มากนัก

แต่คล็อปป์ก็ทยอยส่งนักเตะที่เหมาะสมลงมาในแต่ละช่วงเวลา เขาอาจไม่ได้เปลี่ยนตัวทันทีตั้งแต่พักครึ่ง ทว่าการลงสนามหลังเวลาผ่านไปแค่ 9 นาทีในครึ่งหลังของ กราเฟนแบร์ค กับ ดิอาซ แทน โชต้า และ โจนส์ ก็ถือเป็นการเปลี่ยนตัวที่ยอดเยี่ยม ถูกคน ถูกจังหวะ ถูกเวลา

เช่นเดียวกับการลงสนามของ คักโป ในช่วง 17 นาทีสุดท้ายแทนที่ โซโบสไล พร้อมปรับรูปแบบการเล่นไปเป็น 4-2-3-1 เพื่อเร่งเกมเอาประตูคืน และเมื่อได้ประตูตีเสมอแล้วก็ถอด นูนเญซ กับ แม็ค อัลลิสเตอร์ ออกเพื่อส่ง วาตารุ เอนโด กับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ลงไปช่วยไล่บอล ปรับคักโปเป็นฟอลส์ไนน์คอยพักบอลในแดนหน้า

ผมคิดว่าคล็อปป์จัดตัวและเปลี่ยนตัวได้อย่างสมดุล เหมาะสมกับสถานการณ์และทำได้ยอดเยี่ยมสมกับความสำคัญของเกม

ในแง่ตัวบุคคลนอกจากโจนส์แล้ว ดาร์วินก็เป็นอีกคนที่น่าจะนอนไม่ค่อยหลับถึงผลงานของตัวเอง เกมนี้เขาไม่ได้เลวร้าย ยังวิ่งไล่บอลและพยายามมีส่วนร่วมกับเกมแต่สิ่งที่ยังคงติดตัวเขาอยู่แบบสลัดไม่หลุดคือความเนี้ยบในการตัดสินใจสุดท้าย

ดาร์วินยังนำเอาความผ่อนคลายอย่างตอนที่เล่นให้ทีมชาติอุรุกวัยมาเล่นกับลิเวอร์พูลไม่ได้อย่างสม่ำเสมอ บางเกมมา บางเกมไม่มา เรารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ยังทับบ่าเขาอยู่

จังหวะที่ไหลบอลให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แทนที่จะยิงเองนั้นเป็นการตัดสินใจที่ไม่ดีนักเพราะซาลาห์ไม่ได้ยืนโล่งๆ แต่มีกองหลังขวางอยู่เหมือนกัน ค่าของการยิงเองกับจ่ายในจังหวะนั้นจึงแทบไม่แตกต่าง แน่นอนเราบอกไม่ได้ว่าถ้าเขายิงเองจะเข้าแน่ แต่การเลือกส่งบอลให้เพื่อนที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบมากกว่าตัวเองในจังหวะที่ต้องยิงประตูก็ฉายภาพความไม่มั่นใจนั้นออกมา

และแน่นอน.. ดาร์วิน นูนเญซ คือคนที่มีหน้าที่ยิงประตูให้ทีม การไม่เห็นแก่ตัวคิดถึงทีมมาก่อนย่อมเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่การเลือกส่งแทนที่จะยิงในหลายๆ ครั้งทั้งยังไม่ใช่การส่งที่ทำให้โอกาสได้ประตูมากขึ้นชัดเจนเท่าไหร่มันอาจเป็นภาพที่ทับกันอยู่ระหว่างการไม่เห็นแก่ตัวกับความไม่มั่นใจ

ลองเปรียบเทียบกับจังหวะยิงตีเสมอของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ดูก็ได้ การจับบอลแล้วสับไกยิงของเทรนต์นั้นชัดเจนว่าเขาคิดเอาไว้อย่างเด็ดขาดแล้วว่าจังหวะนี้กูจะยิงล่ะ คิดไว้แล้วตั้งแต่ก่อนบอลจากซาลาห์จะมาถึงตัวด้วย ยิงดีไม่ดีหรือเข้าไม่เข้าค่อยว่ากันแต่จุดนั้นเป็นกรอบเขตโทษและคู่แข่งไม่ทันระวังจึงเปิดพื้นที่ให้ยิงแบบนี้ก็ต้องลองดูสักตั้ง

หรืออีกจังหวะหนึ่งในครึ่งแรกที่ดาร์วินเงอะงะไปเพียงเสี้ยววินาทีจึงถูกสกัดบอลก่อนได้สับไก ผมคิดว่าเขาไม่มั่นใจพอที่จะยิงโดยง้างไกสั้นๆ ซึ่งประสิทธิภาพย่อมด้อยกว่าการได้วาดเท้ายิงเหมาะเหม็ง แต่บางจังหวะถ้าตัดสินใจช้าคุณอาจไม่มีโอกาสกระทั่งได้ยิงเลย จังหวะนั้นผมคิดถึง หลุยส์ ซัวเรซ หรือ เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่จะไม่เสียเวลาแต่งบอลอีกจังหวะแน่แต่จะรีบยิงทันทีแบบที่ได้ง้างสั้นๆ นั่นแหละเพื่อส่งบอลไหลไปเสียบเสาไกล

นั่นยังเป็นความแตกต่างที่ผมมองเห็นระหว่างดาร์วินกับกองหน้าที่เป็นตำนานแอนฟิลด์อย่าง ซัวเรซ กับ ตอร์เรส เขายังต้องการการขัดเกลาและเสริมเพิ่มในจุดนี้ มันอาจผสมผสานกันทั้งเรื่องประสบการณ์ การฝึกซ้อม จิตวิทยา และเรื่องอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าคณะทำงานของคล็อปป์ก็พยายามปรับแก้อย่างเต็มกำลัง

ไม่มีใครหยุดนิ่งอยู่กับที่อยู่แล้ว ผมยังเชียร์และให้กำลังใจเขาเต็มที่ มีหลายสิ่งที่ผมมองเห็นว่าเป็นต้นทุนที่ดีสำหรับดาร์วิน เขาเปี่ยมไปด้วยแพสชั่น สรีระรูปร่างดี มีความแข็งแกร่ง มีความเร็ว ขยันวิ่งหาพื้นที่ หาโอกาสให้ตัวเองได้บ่อยๆ ยิงบอลหนักหน่วง เขามีคุณสมบัติหลายข้อที่จะพาตัวเองขึ้นไปสู่การเป็นยอดดาวซัลโว

เวลานี้ผมมองเห็นความไม่มั่นใจ มันส่งผลต่อการตัดสินใจในจังหวะชี้เป็นชี้ตายของเขา แต่ผมยินดีและเต็มใจที่จะเดินร่วมกันไปกับเขา รอเวลาที่เขายกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขั้นหรือหลายขั้น

ถึงกระนั้นในท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นหนึ่งแต้มใหญ่ที่ลิเวอร์พูลได้มา และเป็นหนึ่งแต้มใหญ่ที่แมนฯ ซิตี้ คงรู้สึกเสียดายที่มันไม่เป็นสามคะแนน เดอะค็อปเองก็น่าจะพอใจกับแต้มนี้

ฤดูกาลยังอีกยาวไกล การลุ้นแชมป์สนุกเข้มข้นและลิเวอร์พูลก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วยอย่างเต็มตัว ที่สำคัญผมคิดว่าผมมองเห็นอนาคตของลิเวอร์พูล 2.0 ของคล็อปป์ มันจะยังไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่ แต่จะยังไปต่อได้อีกจนอยากเห็นว่าเมื่อลงตัวที่สุดจะมีโฉมหน้าอย่างไร

มันเป็นการไปต่อบนความมั่นคงแห่งการทำงานที่รอบคอบทุกภาคส่วนตั้งแต่บนลงมาถึงล่าง ตั้งแต่ซ้ายไปจนถึงขวา ผมชอบวิถีที่ดำเนินมาของทีมรักและยังคงดำเนินไปในทิศทางนั้น รู้สึกถึงความตื่นเต้นที่ไม่เคยจางหายไปเลย

ตังกุย



ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport