ศึกซูเปอร์บิ๊กแมตช์ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปะทะ ลิเวอร์พูล เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ต้องบอกเลยว่าได้รับความสนใจจากแฟนบอลทั่วโลก เนื่องจากทั้งสองทีมมี 2 กุนซือที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในวงการลูกหนังยุคปัจจุบัน ที่สำคัญแมตช์นี้หากทีมใดชนะจะยิ่งสร้างความได้เปรียบในการลุ้นแชมป์ลีกมากยิ่งขึ้น
สำหรับ "หงส์แดง" ต้องบอกว่ามีข่าวดีเนื่องจากผู้เล่นหลักหลายคนกลับมาฟิตสมบูรณ์ และพ้นโทษแบน แต่ที่ยังต้องลุ้นก็คือสภาพความฟิตของ ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งโชว์ฟอร์มร้อนแรงเหลือเกินกับ อุรุกวัย ในช่วงพักเบรกทีมชาติ ถ้าหากนักเตะลงตัวจริงได้งานนี้บอกเลยว่ามันพะยะค่ะ
ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ต้องยอมรับว่าผู้เล่นของพวกเขาค่อนข้างฟูลทีม กรณีของ เออร์ลิง ฮาลันด์ ก็น่าจะฟิตทันลงสนามได้ แถมในแดนกลาง และแนวรับก็ยังคงแข็งแกร่ง ที่สำคัญสนามเอติฮัด สเตเดี้ยม ถือเป็นของต้องห้ามสำหรับ "หงส์แดง" เพราะตลอด 15 ปีในเกมลีกอาคันตุกะชนะแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
1. แข้งสำคัญฟิต, ลุ้น นูนเญซ ลงตัวจริง
คล็อปป์ ขาด 8 แข้งทีมชุดใหญ่ในแมตช์ที่เอาชนะ เบรนท์ฟอร์ด ก่อนเข้าช่วงฟีฟ่า เดย์ อย่างไรก็ตามในแมตช์ที่จะต้องออกไปเยือนถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม ต้องบอกว่า "หงส์แดง" ได้รับข่าวดีมากๆ เนื่องจากผู้เล่นกำลังสำคัญกลับมาเป็นตัวเลือกในแมตช์สำคัญนี้ได้แล้ว
อิบราฮิม่า โกนาเต้, โจ โกเมซ, ไรอัน กราเฟนแบร์ก และ เคอร์ติส โจนส์ จะมีชื่ออยู่ในขุมกำลังของทีมในแมตช์พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังจากที่พวกเขาได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยก่อนช่วงพักเบรกทีมชาติ แน่นอนว่าการมีผู้เล่นเหล่านี้ทำให้ คล็อปป์ มีออปชั่นในการวางแท็คติกให้เหมาะสม
นอกจากนี้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ก็พ้นโทษแบนด้วยยิ่งเป็นข่าวดีเข้าไปอีก นั่นหมายความว่าแดนกลางของ "หงส์แดง" จะสามารถใช้ชุดที่แกร่งที่สุดในการฟาดฟันกับแผงมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดของทัพ "เรือใบสีฟ้า" ซึ่งแน่นอนว่านี่คือหนึ่งในตำแหน่งที่อาจชี้เป็นชี้ตายเกมนี้ได้เลย
ส่วนในรายของ ดาร์วิน นูนเญซ งานนี้คงต้องลุ้นเรื่องสภาพความฟิตเพราะเพิ่งกลับมาจากการรับใช้ทีมชาติอุรุกวัย เช่นเดียวกับ เออร์ลิง ฮาลันด์ ที่ได้รับบาดเจ็บจากช่วงฟีฟ่าเดย์ แต่ตอนนี้กลับมาลงซ้อมได้แล้ว และคาดว่าคงได้ทำหน้าที่ไล่ล่าตาข่ายในฐานะตัวจริง
2. เอติฮัด ของแสลง ลิเวอร์พูล
แทบไม่อยากเชื่อว่า ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในสนามเอติฮัด สเตเดี้ยม ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2015 นั่นแสดงให้เห็นว่าสนามเหย้าของทัพ "สำเภาทอง" เป็นของแสลงสำหรับ คล็อปป์ แอนด์ โค. อย่างแท้จริง
ชัยชนะในเกมลีกเพียงแมตช์เดียวในช่วงระยะเวลา 15 ปีที่สนามเหย้าของแมนฯ ซิตี้ ไม่ใช่เรื่องดีกับทัพ "หงส์แดง" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสภาพจิตใจ ขณะเดียวกันหากมองไปที่การแข่งขันทุกรายการ ลิเวอร์พูล บุกมาเอาชนะได้แค่ 3 ครั้งจาก 15 เกมหลังสุดที่เจอกับพวกเขา
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ได้เปรียบสำหรับเจ้าบ้านอีกนั่นก็คือพวกเขายังไม่เคยแพ้ใครในเอติฮัด สเตเดี้ยม มานานกว่า 1 ปี ที่สำคัญทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังลุ้นสร้างสถิติคว้าชัยชนะในบ้านยาวนานที่สุด 24 แมตช์หากสามารถอัดอาคันตุกะจากลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ ได้
อย่างไรก็ตามข้อดีสำหรับ ลิเวอร์พูล นั่นก็คือการที่พวกเขามีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งจากการที่ทีมไม่แพ้ใครมาแล้ว 22 แมตช์ จาก 23 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ฉะนั้นนี่อาจจะเป็นโอกาสทองที่พวกเขาจะยืดสถิตินี้ และยังเป็นการทำลายอาถรรพ์ในการเยือนเอติฮัดด้วย
3. ซาลาห์ กับสถิติที่สาวก "เดอะ ค็อป" อยากเห็น
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เตรียมสร้างสถิติที่ไม่มีนักเตะ "หงส์แดง" เคยทำได้มานาน 36 ปี ในแมตช์เยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันเสาร์นี้ นั่นก็คือการเป็นผู้เล่นที่ยิงครบ 200 ประตู ซึ่งไม่มีแข้ง "เดอะ เร้ดส์" คนไหนทำได้มานานกว่า 3 ทศวรรษ
สตาร์ลูกหนังวัย 31 ปี ตะบันรวมให้กับ ลิเวอร์พูล 198 ลูกจากการเล่น 322 แมตช์ในทุกรายการให้กับต้นสังกัด และต้องการอีกแค่ 2 ประตูก็จะทำสถิติยิงครบ 200 ลูกต่อจาก เอียน รัช ซึ่งซัดประตูที่ 200 ผ่านมือ เดวิด ซีแมน ที่ตอนนั้นทำหน้าที่เฝ้าเสาให้กับ ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ เมื่อเดือนมีนาคม 1987
ถ้าหาก "บังโม" ทำได้ตามเป้านั่นจะทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนที่ 5 ในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรที่ซัดได้ถึง 200 ประตู และเป็นคนที่ 3 เท่านั้นที่ทำได้ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยก่อนหน้านี้นักเตะตำนานของทีมอย่าง เซอร์ เคนนี่ ดัลกลิช, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, ไมเคิ่ล โอเว่น, เอียน เซนต์ จอห์น และ เควิน คีแกน ยังไม่เคยทำได้เลยกับ ลิเวอร์พูล
จะว่าไปแล้ว "คิง ออฟ อียิปต์" มีโอกาสที่จะยิงประตูได้เช่นกัน เนื่องจากเขามักถูกโฉลกกับการสู้กับ แมนฯ ซิตี้ โดยก่อนหน้านี้สามารถซัดใส่พวกเขามาแล้ว 11 ประตู ที่สำคัญด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ซึ่งซัดไปแล้ว 8 ประตูจาก 8 เกมที่ผ่านมา ยิ่งทำให้เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับคู่ต่อกรสุดหินทีมนี้
4. เป๊ป ปะทะ คล็อปป์ มันหยด
สำหรับคอบอลตัวจริงไม่ว่าจะเป็นกองเชียร์พันธุ์แท้หรือกองแช่งพันธุ์ทาง ทุกคนต่างรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า วัดกึ๋นกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ เพราะทุกครั้งที่พวกเขาดวลกันบอกเลยว่าเกมเต็มไปด้วยความสนุกเร้าใจ และเอนเตอร์เทนผู้ชมสุดๆ
เกมนี้จะเป็นครั้งที่ 29 ที่ทั้งสองคนจะได้ฟาดฟันแท็คติกซึ่งเป็นการดวลกันเองมากกว่าการดวลกับผู้จัดการทีมคนอื่น นอกจากนี้พวกเขายังมีสถิติที่น่าสนใจมากๆ ในการเจอกัน และครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ทั้งสองคนจะได้เพิ่มสถิติของกันและกัน
ไม่มีใครที่เอาชนะทีมที่กวาร์ดิโอล่าคุมได้มากกว่า คล็อปป์ (12 แมตช์) และไม่มีใครที่เอาชนะ คล็อปป์ ได้มากกว่า กวาร์ดิโอล่า (11 เกม) ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่แฟนบอลทั่วโลกอยากเห็นกุนซือชาวเยอรมันกับนายใหญ่แดนกระทิงดุวัดกึ๋นกัน
นับตั้งแต่ที่พวกเขาหอบหิ้วครอบครัวเข้ามาทำมาหารับประทานในอังกฤษ ต้องบอกเลยว่า ลิเวอร์พูล มีสถิติเอาชนะ 8 แมตช์ และ แมนฯ ซิตี้ เอาชนะได้ 7 แมตช์ นอกจากนี้ยังเสมอกัน 5 เกม แค่เห็นสถิติแบบนี้ยิ่งเป็นการเพิ่มความเข้มข้นในการดวลกันของทั้งคู่อย่างแท้จริง
5. ผลการแข่งขันพลิกสถานการณ์
สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้หลายคนมองว่า ลิเวอร์พูล ค่อนข้างได้เปรียบ เนื่องจาก แมนฯ ซิตี้ กำลังเสียสมาธิกับกรณีที่อาจโดนลงโทษจากความผิดแหกกฎการเงินของ พรีเมียร์ลีก ถึง 115 ข้อหา หลัง เอฟเวอร์ตัน โดนเชือดไปแล้วด้วยการหัก 10 แต้มจากข้อหาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เป๊ป น่าจะเรียกสติของลูกทีมกลับมาได้แล้ว และไม่ให้คิดเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะเกมนี้มีความสำคัญมากๆ เนื่องจากหากพวกเขาพลาดท่าให้กับ ลิเวอร์พูล นั่นหมายถึงตำแหน่งจ่าฝูงจะเปลี่ยนมือทันที แถมยังอาจโดน อาร์เซน่อล ทำคะแนนแซงหน้าด้วย
ขณะที่ ลิเวอร์พูล เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะบุกมาคว้า 3 คะแนนให้ได้ เนื่องจากเป็นโอกาสดีของพวกเขาเพราะตอนนี้ฟอร์มกำลังคงเส้นคงวา แถมคู่แข่งอยู่ในช่วยว้าวุ่นเรื่องนอกสนาม ดังนั้นนี่จะเป็นเรื่องที่สร้างความได้เปรียบให้กับพวกเขา
กระนั้นหากทั้งสองทีมทำได้เพียงเสมอ และคู่แข่งอย่าง อาร์เซน่อล, สเปอร์ส, แอสตัน วิลล่า หรือแม้แต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เก็บชัยชนะในเกมของพวกเขาได้ นั่นหมายความว่าทีมเหล่านี้จะก้าวขึ้นมาลุ้นแชมป์เต็มตัวทันที !!!
ลุงต้อม