ท่ามกลางโปรแกรมเกมทีมชาติที่เตะกันทั่วทุกมุมโลก เอฟเวอร์ตัน ก็ต้องได้รับข่าวร้ายเมื่อฝ่ายจัดการแข่งขันของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มีคำสั่งตัดแต้มพวกเขา 10 คะแนน จากการทำผิดกฎเกี่ยวกับเรื่องการเงิน
เรื่องที่ว่ามันเป็นคำตัดสินที่เหมาะสมหรือไม่นั้นคงขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่ที่แน่นอนก็คือตอนนี้มันทำให้ทีมของกุนซือ ฌอน ไดซ์ เจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆ เพราะพวกเขาตกมาเป็นรองบ๊วยของลีกทันทีด้วยจำนวน 4 แต้มจากการลงเล่น 12 นัด หลังเดิมทีอยู่ในอันดับ 14 และมีแต้มห่างจากโซนตกชั้นถึง 9 แต้ม
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลายคนมองว่า เอฟเวอร์ตัน สุ่มเสี่ยงที่จะตกชั้น ซึ่งมันก็ไม่แปลกที่จะมีคนคิดแบบนั้น เพราะในประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ลีก ทีมที่เก็บได้เพียง 4 แต้ม หรือน้อยกว่านั้นในช่วง 12 นัดแรกของฤดูกาลต่างก็มีชะตากรรมที่ต้องตกชั้นแทบทุกทีม โดยมีเพียงทีมเดียวที่อยู่รอดปลอดภัยได้
อย่างไรก็ตาม ทีมที่ว่าก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น เอฟเวอร์ตัน นี่เอง โดยมันเกิดขึ้นในซีซั่น 1994-95 ที่พวกเขาเริ่มจากการอยู่ภายใต้การคุมทีมของ ไมค์ วอลเกอร์ แถมยังเป็นยุคที่ พรีเมียร์ลีก มีทีมในลีกถึง 22 ทีมอีกต่างหาก
ตอนนั้น เอฟเวอร์ตัน ออกสตาร์ตในลีกด้วยการเปิดบ้านเสมอกับ แอสตัน วิลล่า 2-2 แต่ 4 นัดต่อมาพวกเขาแพ้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกมกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส
"ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" อาการเลวร้ายหนักมากจนทำให้ในช่วง 12 เกมแรกของลีกนั้นผลงานของพวกเขาแบ่งเป็นการเสมอ 4 เกมและแพ้ 8 นัด ใช่แล้ว พวกเขาเก็บชัยในลีกไม่ได้แม้แต่นัดเดียวในช่วงดังกล่าวจนทำให้ตอนนั้นมีเพียง 4 คะแนน และจมเป็นบ๊วยของลีก
แม้ว่าในวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 1994 เอฟเวอร์ตัน จะชนะในลีกเป็นนัดแรกด้วยการเฉือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-0 และเสมอ นอริช ซิตี้ 0-0 ในอีก 4 วันให้หลัง แต่บอร์ดบริหารก็หมดความอดทนจนตัดสินใจปลด วอลเกอร์ พ้นจากการเป็นกุนซือ ทำให้เขาได้อยู่ในตำแหน่งแค่ราว 10 เดือน หลังจากเจ้าตัวเข้ามาคุมทีมในช่วงเดือนมกราคม ปี 1994 และพาทีมรอดตกชั้นในซีซั่น 1993-94 ได้
คนที่เข้ามารับหน้าที่อันหนักอึ้งต่อจากเขาคือ โจ รอยล์ ซึ่งเป็นตำนานกองหน้าของทีมที่เคยเล่นให้พวกเขาระหว่างปี 1966-1974 รวมถึงอยู่ในทีมชุดที่ได้แชมป์ลีกสูงสุดเมื่อฤดูกาล 1969-70 และเขาก็เปลี่ยนทีมจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ทันที เพราะพาทีมเก็บได้ 9 คะแนนเต็มจากการคุมทีมลงเล่นในลีก 3 นัดแรก ประกอบด้วยการเปิดบ้านชนะ ลิเวอร์พูล คู่ปรับตลอดกาล 2-0, บุกไปทุบ เชลซี 1-0 ตามด้วยการไล่ ลีดส์ ยูไนเต็ด กลับบ้านด้วยสกอร์ 3-0
ถึงแม้ระหว่างทางจะมีเกมที่แพ้อยู่บ้าง แต่ผลงานโดยรวมของ รอยล์ ถือว่าโดดเด่นสุดๆ เขาถึงขั้นนำทีมเปิดบ้านชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นแชมป์เก่าของ พรีเมียร์ลีก ด้วยสกอร์ 1-0 เมื่อช่วงปลายเดือนกุมพาพันธ์ ปี 1995 ได้ด้วยซ้ำ ก่อนที่ เอฟเวอร์ตัน จะการันตีการอยู่รอดเมื่อถึงวันที่บุกไปชนะ อิปสวิช ทาวน์ 1-0 ในนัดรองสุดท้ายของฤดูกาล
เอฟเวอร์ตัน จบผลงานในลีกด้วยการมี 50 คะแนนจากการลงเล่น 42 นัด พร้อมได้อันดับ 15 ของลีก แต่ความน่าทึ่งของพวกเขาไม่ได้หมดแค่นั้น เพราะในซีซั่นดังกล่าว เอฟเวอร์ตัน ได้แชมป์ เอฟเอ คัพ ไปครองด้วย หลังจากในนัดชิงชนะเลิศพิชิต แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 ทำให้นั่นถือเป็นแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยที่ 5 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร
"The Royle Revolution" คือฉายาที่ Shoot! นิตยสารด้านฟุตบอลตั้งชื่อให้ เอฟเวอร์ตัน ของ รอยล์ ในสมัยนั้น โดยในฤดูกาล 1995-96 รอยล์ ยังทำผลงานได้ดีจนนำทีมได้แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ รวมถึงได้อันดับ 6 ในลีก ก่อนที่เวทมนตร์ของเขาจะหมดลงในฤดูกาล 1996-97 หลังจากทีมมีผลงานดร็อปลงจน รอยล์ ขอลาออกไปเองในช่วงเดือนมีนาคม ปี 1997
แน่นอนว่าการโดนตัด 10 คะแนนถือเป็นเรื่องที่น่าหดหู่สำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ เอฟเวอร์ตัน แต่พวกเขาก็เคยพิสูจน์มาแล้วว่ายังสามารถรอดตกชั้นได้แม้จะมีเพียง 4 คะแนนในช่วง 12 นัดแรก และเมื่อพิจารณาจากการที่ทีมของ ไดซ์ ทำผลงานได้น่าพอใจในต้นฤดูกาลนี้ ทำให้มันมีโอกาสที่ เอฟเวอร์ตัน จะทำอย่างงั้นได้อีกครั้ง
- เด็กเกร็ดบอล -