เกมระหว่าง เชลซี กับ สเปอร์ส ที่จบลงด้วยผลเสมอ 2-2 เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2016 ว่าบ้าคลั่งสุด ๆ แล้ว แต่ดูจะเทียบกันไม่ติดเลยกับนัดล่าสุดที่ทั่งคู่ฟาดฟันกันที่ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม
มันคือมันเดย์ ไนท์ แถบลอนดอนเหนือที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งขั้นสุด
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในครึ่งแรกจนนำมาซึ่งการทดเวลาบาดเจ็บนาน 12 นาที
นาที 22 : วีเออาร์ เช็คใบแดง โรเมโร่ และไม่แจก
นาที 24 : สเตอร์ลิง ยิงตีเสมอ แต่โดนยึด
นาที 28 : มอสเซส ไกเซโด้ ยิงสกอร์เท่า แต่ล้ำหน้า
นาที 31 : วีเออาร์ เช็คจุดโทษ จังหวะ โรเมโร่ เข้าปะทะ เอ็นโซ่
นาที 34 : ให้จุดโทษ และไล่ โรเมโร่
นาที 35 : พาลเมอร์ ซัดโทษตีเสมอ
ความดราม่าไม่ได้หมดแค่ครึ่งแรก เพราะครึ่งหลังแทบไม่ต่างกันเท่าไหร่
เดสตินี่ อูโดกี้ ที่ถูกคาดโทษตั้งแต่ครึ่งแรก มาโดนใบเหลืองสอง โดยมี สเตอร์ลิง เป็นคู่กรณี
ลูกทีมของ แอนจ์ โปเตสโคกลู เล่นด้วยผู้เล่น 9 คน แต่กว่า เชลซี จะชิงความได้เปรียบยิงขึ้นนำได้ก็ต้องรอจนถึงนาที 75 และเป็นอีกครั้งที่ วีเออาร์ ถูกดึงมาตรวจสอบ
และอีกไม่กี่วินาทีต่อมา เอริค ดายเออร์ ตัวสำรองส่งบอลซุกตาข่าย แต่ถูกจับว่าล้ำหน้า จนกระทั่ง นิโกล่าส์ แจ็คสัน เหมาอีกสองลูกปิดเกมพร้อมแฮตทริกพา เชลซี คว้าชัย 4-1
แม้ว่าบางคนตั้งคำถามว่า อูโดกี้ โชคดีหรือเปล่าที่ไม่โดนใบแดงจากจังหวะพุ่งเสียบแบบเปิดปุ่มทั้ง 2 ข้าง
แต่นั่นเป็นเพียงการยื้อเวลาเท่านั้น เพราะแบ็กอิตาเลี่ยน หลีกเลี่ยงชะตากรรมไม่ได้มาโดนไล่ออกตอนครึ่งหลังอยู่ดี
ถ้าเป็นวันหรือเกมอื่น ๆ การหยุดเกมเพื่อตรวจการเล่นเหล่านั้นอาจจะส่งผลเสียกับการเล่นในช่วงครึ่งแรก
ทว่าเกมฟาดฟันระหว่างสองทีมนี้เต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้นจนแทบกลบเรื่อง วีเออาร์ ไปเลย
ถามว่า การที่ สเปอร์ส ดันสูงขนาดนั้นจนเสียประตู มันคือความกล้าหาญหรือทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ?
ตอนพวกเขามีตัวครบ 11 คน แนวรับดันสูงถือเป็นเรื่องเชิงบวก แต่มีความเสี่ยงเมื่อทั้ง สเตอร์ลิง กับ แจ็คสัน มีความเร็วจัดทั้งคู่
ทว่าตอนเหลือ 10 คนการทำอย่างนั้นมันนำไปสู่ปัญหา
การเล่นแนวรับดันขึ้นสูงถูกใช้เพื่อทำการบีบพื้นที่
โดยกองกลางกับกองหน้าจำเป็นต้องไปกดดันคู่แข่งที่เป็นฝ่ายครองบอลอยู่ให้ได้ เพื่อตัดการผ่านบอลให้ได้ตั้งแต่ต้น
อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถกดดันได้ดีพอ ทางเลือกที่สมเหตุสมผลคือการถอยลงมาตั้งรับลึกกว่าเดิม และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะกว่าเมื่ออีกฝ่ายโยนบอลยาวขึ้นหน้า
ถึงกระนั้น ขณะที่เหลือผู้เล่นแค่ 10 คน แต่ สเปอร์ส กลับยังเลือกที่จะดันแนวรับขึ้นสูงโดยไม่ได้กดดันคู่แข่งตอนที่อีกฝ่ายได้ครองบอล
มันราวกับว่า เป็นความกล้าที่แฝงด้วยความไม่ควร
การตัดสินใจให้นักเตะของตัวเองต้องวิ่งไล่กวดกับ 2 กองหน้าที่เร็วที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ไม่ได้เป็นไอเดียที่ดีเท่าไหร่
ที่ผ่านมา มิคกี้ ฟาน เดอ เฟน ในสภาพปกติมีความเร็วพอที่จะวิ่งไล่คู่แข่งได้ตอนที่แนวรับ สเปอร์ส ดันสูงขึ้นจนเป็นผลเชิงบวกทำให้พวกเขาไม่ค่อยเจอปัญหายามโดนวางบอลยาวถึงแดนหลัง
แต่หลังจากเขาบาดเจ็บตรงเอ็นหลังหัวเข่า แค่วิ่งจังหวะเดียวก็สาหัสหนักเกินไป และที่จริง สเปอร์ส สามารถเลี่ยงไม่ให้เกิดจังหวะแบบนั้นได้ด้วยซ้ำ
การจะให้ดันแนวรับขึ้นสูงในตอนที่เหลือแค่ 9 คน ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย...
กลับกัน เป็น เชลซี เองที่ไม่สามารถปิดเกมให้เร็วได้
ความจริง บนชัยชนะของ "สิงห์บลูส์" นัดนี้เหมือนเปิดแผลให้เห็นชัดมากขึ้นถึงความอ่อนประสบการณ์ของทีมชุดนี้มากกว่าบางนัดที่พวกเขาแพ้แบบน่าหงุดหงิดเสียอีก
เชลซี มิอาจคาดถึงว่า ท็อตแน่ม คงยังยืดหยัดยึดมั่นดันแนวรับขึ้นสูง ทั้งที่มีผู้เล่นน้อยกว่า
มันเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาจนสร้างความฉงนต่อคู่แข่งที่ยังงง ๆ ว่าจะจัดการอย่างไร
อีกทั้งยังต้องรับมือกับเสียงเชียร์เจ้าถิ่นที่ส่งเสียงดังขึ้น ดังขึ้น เพื่อเป็นแรงผลักให้ผู้มาเยือนเผชิญเรื่องยากเข็ญ
สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ เชลซี เจาะประตูไม่ได้ก็เพราะ แจ็คสัน กะจังหวะการวิ่งไม่ดี แม้ว่าสุดท้ายเขาได้บอลกลับบ้านไปครอง
แจ็คสัน ออกตัวเร็วเกินไปหลายครั้ง และขอบอลตอนที่ตัวเองยืนอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าหลายหน ซึ่งนั่นทำให้แนวรับ สเปอร์ส ที่ดันขึ้นสูงรับมือได้ง่ายขึ้นและเสี่ยงจะโดนเล่นงานน้อยลง
จนท้ายสุด เชลซี เลิกคิดที่จะผ่านบอลให้เขาเป็นเป้าหมายแรก
แม้พอขึ้นนำได้แล้วแต่สถานการณ์ เชลซี ยังไม่มั่นคง เพราะพวกเขาเสียบอลง่าย ๆ หลายครั้ง และทำพลาดกันเองหลายหนจนถูก สเปอร์ส กดดันใส่ช่วงท้ายเกมผ่านการเตะลูกนิ่ง
เชลซี ได้ชัยชนะที่พวกเขาต้องการก็จริง แต่การแสดงออกของ โปเช็ตติโน่ เป็นการตอกย้ำว่าทีมของเขายังต้องปรับปรุงอีกเยอะ
.
.
.
มันไม่ใช่แค่ความปราชัยนัดแรกเท่านั้น แต่หลังจากนี้อาจจะส่งผลเสียต่อ สเปอร์ส ไปอีกพักใหญ่
อาการตรงเอ็นหลังหัวเข่าของ ฟาน เดอร์ เฟน ดูไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
เจมส์ แมดดิสัน เป็นอีกคนที่บาดเจ็บจนต้องโดนเปลี่ยนตัวออกจากสนาม
โรเมโร่ กับ อูโดกี้ จะโดนแบนโทษฐานถูกใบแดง
ที่ผ่านมาทั้ง 4 คนนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ สเปอร์ส ออกสตาร์ทต้นซีซั่นได้ยอดเยี่ยม
และคงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าเกมเยือน วูล์ฟส์ นัดต่อไป ขุมกำลัง "ไก่เดือยทอง" อ่อนยวบกว่าที่เคยเป็น
คาดการณ์แผงแบ็กโฟร์นัดหน้าจะประกอบไปด้วย เปโดร ปอร์โร, ดายเออร์, เบน เดวิส และ เอแมร์ซอน รอยัล
ส่วนมิดฟิลด์ก็จะไม่มีชื่อของ แมดดิสัน จอมทัพตัวปั้นเกม
อย่างไรก็ดี ฟอร์มของ สเปอร์ส ยุคแอนจ์ สมควรได้รับคำชมในเรื่องแนวทางการเล่น
ขนาดตอนเหลือ 9 คน พวกเขายังคิดสู้ด้วยการดันแนวรับขึ้นสูง ไม่ใช่แค่สูง แต่มันสูงเอามาก ๆ จน กีเยลโม่ วิคาริโอ ลอยขึ้นรับบทบาทสวีปเปอร์ แถมช่วงเวลาหนึ่งทำให้ เชลซี ยากที่จะหาทางเอาชนะแผนการเล่นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
แม้จะเหลือตัวจริงในตำแหน่งเอาท์ฟิลด์แค่ 4 คนหลังจากผ่านไปแล้ว 63 นาที แต่ สเปอร์ส ยังเลือกใช้แนวทางการเล่นที่เต็มไปด้วยความกล้า และมีรูปแบบที่มีความเสี่ยงสูง
แถมตอนตามหลัง 1-2 ยังเกือบตามตีเสมอได้ด้วยจากจังหวะที่ ดายเออร์ ล้ำหน้า แล้วหลังจากนั้น โรดริโก้ เบนตานคูร์ ก็น่าจะทำประตูได้อีก
ไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไม ต่อให้โดน เชลซี ยิงลูกสามลูกสี่ แฟน ๆ "คลับไก่" ก็ยังปรบมือให้กับความพยายามของทีม
นี่เป็นความพยายามที่เยี่ยมยอดของ สเปอร์ส แม้ว่าพวกเขาเองต้องน้ำตาตกจากความประมาทของ โรเมโร่ กับ อูโดกี้ ก็ตาม
เรียบเรียงจาก The Athletic
HOSSALONSO