หลังจากที่มีกระแสข่าวหนาหูว่า เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ อภิมหาเศรษฐีชาวอังกฤษ กำลังจะทุ่มเงินซื้อหุ้นจำนวน 25 เปอร์เซนต์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยหากเรื่องทุกอย่างผ่านฉลุย เขาเตรียมวางแผนขั้นต่อไปในการสร้าง "ปีศาจแดง" ให้กลับสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง
สำหรับเหตุผลที่อภิมหาเศรษฐีอิงลิชซื้อหุ้นจำนวนน้อย เนื่องจากเขารู้ดีว่าตระกูลเกลเซอร์เจ้าของทีมชาวอเมริกันไม่คิดขายทีมจริง จึงทำให้เขาพร้อมซื้อหุ้นทีละเล็กทีละน้อยแบบบันไดขั้นแรกก่อนพยายามหาทางเทคโอเวอร์สโมสรในอนาคต
ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน "เซอร์จิม" เตรียมจะเดินเครื่องอีกขั้นนั่นก็คือการหาผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ หลัง จอห์น เมอร์เทอห์ ทำงานไม่ค่อยเข้าตา และตอนนี้มี 5 รายชื่อที่อยู่ในหัวของเขาได้แก่ ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์, จูเลี่ยน วอร์ด, ฌ็อง-โคล้ด บล็องก์, และ พอล มิตเชลล์
ในกรณีของ มิตเชลล์ ค่อนข้างมีภาษีเหนือกว่าคนอื่นๆ เพราะผลงานโดดเด่นเหลือเกิน และ แรตคลิฟฟ์ ดูเหมือนจะเล็งเขาเอาไว้เป็นเบอร์ 1 ในใจ โดยเหตุผลสำคัญเพราะมีประสบการณ์โชกโชนในวงการลูกหนัง หลังเคยทำงานให้กับ แอร์เบ ไลป์ซิก, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เซาธ์แฮมป์ตัน และ เอ็มเค ดอนส์ ล่าสุดก็เพิ่งอำลา โมนาโก
ผลงานที่โดดเด่นของ มิตเชลล์ มีมากมายแต่ที่ยอดเยี่ยมจนหลายคนยังคงจดจำได้ดีนั่นก็คือการดึง 5 นักเตะเข้ามาร่วมทัพ และปัจจุบันผู้เล่นเหล่านั้นก้าวขึ้นมาเป็นซูเปอร์สตาร์ลูกหนังเรียบร้อยแล้ว
1. ซาดิโอ มาเน่
หลังจากตะบันไป 45 ระตูกับ 32 แอสซิสต์จากการเล่น 87 เกมให้กับ เรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ยักษ์ใหญ่ในลีกออสเตรีย งานนี้ มิตเชลล์ ซึ่งทำงานให้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน ได้สะกิดบอร์ดบริหารให้รีบเซ็นสัญญากับ ซาดิโอ มาเน่ ทันทีในเดือนกันยายน 2014 ด้วยค่าตัวแค่ 10 ล้านปอนด์ (ราว 440 ล้านบาท) เท่านั้น
ดาวเตะโนเนมชาวเซเนกัล สร้างชื่อกับทัพ "นักบุญ" จากการเล่น 2 ซีซั่น ก่อนที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะทุ่มเงิน 34 ล้านปอนด์ (ราว 1,496 ล้านบาท) คว้าตัวมาเล่นให้ ลิเวอร์พูล ตอนนั้น มาเน่ ทำผลงาน 21 ประตูจากการเล่น 67 เกมลีกให้กับเซาธ์แฮมป์ตัน
นักเตะย้ายมาสวมชุด "หงส์แดง" และประสบความสำเร็จมากมายรวมทั้งการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ พรีเมียร์ลีก พร้อมกับสถาปนาตัวเองเป็นตำนานในถิ่นแอนฟิลด์ ก่อนที่จะย้ายไปค้าแข้งกับ บาเยิร์น มิวนิค และ อัล นาสเซอร์ ตามลำดับ
2. ซน ฮึง-มิน
สเปอร์ส เซ็นสัญญากับ ซน ฮึง-มิน จาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น เมื่อเดือนสิงหาคม 2015 ด้วยค่าตัวเพียง 22 ล้านปอนด์ (ราว 968 ล้านบาท) ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นหนึ่งในดีลที่คุ้มสุดคุ้มของ "น้องไก่"
ผลงานตะบันตาข่ายคู่แข่งไปถึง 151 ประตูจากการเล่น 381 เกมให้กับ สเปอร์ส เป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าเม็ดเงินที่ "ไก่เดือยทอง" จ่ายไปให้กับ "ห้างขายยา" มันช่างคุ้มเกินที่จะหาคำไหนมาบรรยายได้
ยิ่งไปกว่านั้น "อาซน" ยังเป็นเอเชียคนแรกที่คว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดพรีเมียร์ลีก หรือ "รองเท้าทองคำ" ในฤดูกาล 2021-2022 และประตูแห่งซีซั่นฤดูกาล 2019-2020
ปัจจุบัน สตาร์ชาวเกาหลีใต้ อายุ 31 ปีแล้ว และได้รับบทบาทเป็นกัปตันทีมสเปอร์ส ที่สำคัญสภาพร่างกายของเขายังดูแข็งแกร่ง และกำลังโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมภายใต้การกุมบังเหียนของ อังเก้ ปอสเตโคกลู
3. อิบราฮิม่า โกนาเต้
มิตเชลล์ มองเห็นแวว อิบราฮิม่า โกนาเต้ มาตั้งแต่เล่นโซโชซ์ ทีมในลีกฝรั่งเศส และตัดสินใจแนะนำให้บอร์ดบริหารแอร์เบ ไลป์ซิก คว้าตัวเจ้าหนูรายนี้มาร่วมทัพเมื่อเดือนกรกฎาคม 2017 ซึ่งตอนนั้นเขาอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น
ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ ลงเล่นถึง 20 เกมในทุกรายการให้กับทีมชุดใหญ่ไลป์ซิกในฤดูกาลแรกที่ย้ายมาเล่นในศึกบุนเดสลีกา เยอรมนี หลังจากนั้น โกนาเต้ สามารถสร้างผลงานจนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีม และเป็นหนึ่งในสตาร์สำคัญตลอดระยะเวลา 4 ซีซั่น
ผลงานชั้นยอดของ โกนาเต้ ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องยอมทุ่มเงินจำนวน 35 ล้านปอนด์ (ราว 1,540 ล้านบาท) เพื่อดึงตัวมาเสริมเกมรับเมื่อปี 2021 แม้ว่าในช่วงแรกๆ นักเตะอาจต้องเผชิญกับปัญหาอาการบาดเจ็บบ้าง แต่หลังจากที่สภาพร่างกายฟิตสมบูรณ์เขาก็กลายเป็นหัวใจในแนวรับคนใหม่ของทีม
เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา โกนาเต้ ได้รับคำชื่นชมอย่างมาก และถูกยกให้เป็นผู้เล่นเซนเตอร์แบ็กที่ทีมขาดไม่ได้ ถึงขนาดที่สาวก "เดอะ ค็อป" ยกเป็นเป็น "เดอะ แบก" ยิ่งกว่า เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ด้วยซ้ำ
4. ดูซาน ทาดิช
เซาธ์แฮมป์ตัน ยอมควักกระเป๋าจำนวน 10.9 ล้านปอนด์ (ราว 479.6 ล้านบาท) ให้กับ เอฟซี ทเวนเต้ เพื่อปล่อยตัว ดูซาน ทาดิช มาร่วมทัพในช่วงซัมเมอร์เดียวกับที่คว้าตัว มาเน่
ทาดิช เป็นนักเตะคนแรกที่ "เดอะ เซนต์ส" คว้าตัวมาเสริมแกร่งนับตั้งแต่ที่ โรนัลด์ คูมัน เข้ามากุมบังเหียนแทนที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ โดย กองกลางตัวรุกเลือดเซิร์บ ลงเล่นให้ทีม 4 ซีซั่นในอังกฤษ ก่อนย้ายไปอยู่กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในยุคที่ เอริค เทน ฮาก คุมทีม
ช่วงที่ทำงานร่วมกับ เทน ฮาก นักเตะพัฒนาศักยภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า โดยไฮไลท์ที่โดดเด่นในอาชีพของเขาก็คือการมีส่วนร่วมกับ อาแจ็กซ์ ในแมตช์ชนะ เรอัล มาดริด และ ยูเวนตุส ศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2019
ปัจจุบัน ดาวเตะวัย 34 ปีเล่นให้กับ เฟเนร์บาห์เช่ ทีมดังในประเทศตุรเกีย และสวมบทบาทกัปตันทีมชาติเซอร์เบีย
5. คีแรน ทริปเปียร์
อีกหนึ่งนักเตะที่ มิตเชลล์ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์กว้างไกล นั่นก็คือ คีแรน ทริปเปียร์ โดยเขาสะกิดบอร์ด สเปอร์ส ให้เซ็นสัญญากับนักเตะรายนี้มาจาก เบิร์นลี่ย์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2015
ทริปเปียร์ โชว์ฟอร์มได้อย่างคงเส้นคงวากับ สเปอร์ส มาตลอดระยะเวลา 4 ฤดูกาลก่อนที่จะออกไปหาความท้าทายใหม่กับ แอตเลติโก มาดริด ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในแข้งคีย์แมนที่ช่วย "ตราหมี" คว้าแชมป์ลา ลีกา สเปอน เมื่อฤดูกาล 2020-2021
หลังจากที่ ไคล์ วอล์คเกอร์ ตัดสินใจย้ายไปเนให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ช่วงซัมเมอร์ปี 2017 ทริปเปียร์ กลายเป็นแบ็กขวาเบอร์ 1 ในใจของ โปเช็ตติโน่ และมีส่วนช่วยทีมทะลุรอบชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2019 (แพ้ ลิเวอร์พูล 0-2)
ดาวเตะเลือดผู้ดี วัย 33 ปี ย้ายกลับมาเล่นในลีกบ้านเกิดกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เมื่อเดือนมกราคม และช่วยทีมได้รองแชมป์ คาราบาว คัพ รวมทั้งคว้าอันดับท็อปโฟร์ไปลุยศึกถ้วยใบโตยุโรปครั้งแรกในรอบ 2 ทศวรรษ
คงจะไม่ใช่การยกยอจนเกินไปที่จะบอกว่า ทริปเปียร์ คือหนึ่งในแบ็กขวาที่เก่งที่สุดในโลก และตอนนี้ก็ได้รับเกียรติให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมทัพ "สาลิกาดง" อย่างเป็นทางการแล้ว
ทอมเม้ง