หลังจบเกมแชร์แต้มกับ ไบรท์ตัน มีอะไรบ้างที่เริ่มเห็นได้ชัดจาก ลิเวอร์พูล ก่อนเข้าสู่ช่วงพักเบรค ฟีฟ่า เดย์ รอบสองของซีซั่น
1. เมื่อไร้ตัวรุกสองคนไปพร้อม ๆ กัน… จากม้านั่งสำรอง ลิเวอร์พูล ไม่มีใครเลยที่จะเปลี่ยนเกมได้
การขาดหายไปของ ดีโอโก้ โชต้า และ โคดี้ กัคโป คือผลเสียที่เราเห็นได้ชัดเจนเมื่อหันไปมองตัวสำรองแนวรุกแล้วไม่สามารถหยิบจับใครลงมาเล่นได้เลย
ข้างสนาม มีแค่ เบน โด๊ค เท่านั้นที่เป็นนักเตะประเภทตัวรุก แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ได้ส่งดาวรุ่งรายนี้ลงเล่น โดยยึดสามประสานแดนหน้า หลุยส์ ดิอาซ-ดาร์วิน นูนเญซ-โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยืนตลอด 90 นาที
2. ต่อเนื่องข้อแรก ด้วยสไตล์การเล่นแบบนี้มันทำให้ ดาร์วิน นูนเญซ และ หลุยส์ ดิอาซ ไม่สามารถเล่นเต็มที่ได้เกิน 70 นาที แถม โม ซาลาห์ ดูเหนื่อย ๆ ล้า ๆ ผิดปกติ
การจะสู้กับ ไบรท์ตัน นั้น จำเป็นต้องใช้พลังงานในการเพรสซิ่งสูงมาก และ ลิเวอร์พูล ก็ทำแบบนั้นเพื่อต่อกรกับทีมของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้
ประตูที่ได้มามันเกิดจากการไล่กดดันแดนบน ซึ่งทั้ง ดิอาซ-ดาร์วิน-ซาลาห์ คือด่านหน้าจุดเริ่มต้นการเพรสซิ่ง
และนั่นก่อให้เกิดความเหนื่อยล้า เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของ ดิอาซ และ ดาร์วิน ร่อยหรอไปเรื่อย ๆ ครั้นจะเปลี่ยนออกก็ไม่มีตัวเลือกทดแทนเนื่องจาก โชต้า ติดแบน ส่วน กัคโป บาดเจ็บ
ดิอาซ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เล่นที่มีความอึดคนหนึ่งในทีม แต่การเล่นด้วยแนวทางนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะวิ่งเต็มที่ได้ตลอด และ 10 เกมที่ผ่านมาในซีซั่นนี้ มีแค่เกมเจอ แอลเอเอสเค ลินซ์ เกม ยูโรปา ลีก และเกมนี้เท่านั้นที่เขาได้เล่นครบเต็มเวลา ซึ่งไม่ได้ใช้พละกำลังมากมายขนาดนี้
ส่วน ดาร์วิน เหมือนกันกับเพื่อนชาวโคลอมเบีย นอกเหนือจากนัดล่าสุดที่เขาลงครบ 90 นาที ก็มีเพียงเกมบุกเยือน แอลเอเอสเค นัดเดียว
ขณะที่ ซาลาห์ พลังงานแทบไม่ต่างจากสองคนดังกล่าว แต่เขาก็ยังกระตือรือร้นที่จะพาทีมควานล่าประตูชัยจนถึงวินาทีสุดท้าย
3. ถึงเวลาแล้วรึยังที่จะปลดปล่อย อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ออกจากตำแหน่งหมายเลข 6 ?!
คำถามที่เกิดขึ้นมาหลายนัดคือ เมื่อไหร่ที่ ลิเวอร์พูล จะใช้ แม็ค อัลลิสเตอร์ ในบทบาทที่ควรจะเป็น
คล็อปป์ เลือกใช้ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ยืนตัวจริงแทน เคอร์ติส โจนส์ แล้วคงให้แข้งอาร์เจนติเนี่ยนรับบทบาทหมายเลข 6
จริงอยู่ว่าการตำหนินักเตะที่ไม่ได้เล่นในตำแหน่งที่ถูกตั้งความคาดหวังไว้แต่แรกเป็นสิ่งที่รุนแรงเกินไป
ในช่วงแรกภายใต้สีเสื้อแดงเพลิง มีหลายครั้งที่รู้สึกว่า แม็ค อัลลิสเตอร์ ไม่มีความเร็วมากพอที่จะเล่นในตำแหน่งนี้
และไม่ได้รับการปกป้องบนสนามมากพอจนกลายเป็นการทำให้เกิดเงื่อนไขที่ส่งผลให้พื้นที่รอบตัวเขาในแผงกลางเกิดช่องว่างขึ้นมา
"แม็คก้า" ยังดูมีความลังเลตอนครอบครองบอลอยู่หลายครั้ง ซึ่ง ไบรท์ตันฯ ก็ฉวยประโยชน์จากจุดนี้ด้วยการบีบกดดันหนัก
คล็อปป์ มีหลายอย่างที่ต้องคิดตอนช่วงระหว่างเข้าสู่โปรแกรมเกมทีมชาติครั้งที่ 2 ของฤดูกาล
แต่ประเด็นที่เขาควรจะให้ความสำคัญมากที่สุดคือการหาจุดลงตัวเพื่อทำให้ แม็ค อัลลิสเตอร์ ทำผลงานให้ดีตามที่ตัวเองถนัด
4. ดูเหมือน คล็อปป์ ยังไม่มั่นใจในตัว วาตารุ เอ็นโด หรืออย่างน้อย ๆ ก็ในตอนนี้
ลองจินตภาพหากมี วาตารุ เอ็นโดยืนปักหลักมิดฟิลด์ตัวรับแล้วให้ แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โซโบซไล ขนาบข้าง มันคือความลงตัวตรงทุกตำแหน่งแดนกลาง
เอ็นโด เป็นมิดฟิลด์ตัวรับรายเดียวที่ใช้งานได้ตอนนี้ เขาไม่ได้ถูกเลือกใช้ทั้งที่เกมกลางสัปดาห์ และมีวี่แววว่านัดนี้จะเป็นโอกาสของเขา เนื่องจากถูกถอดออกมาพักตอนพักครึ่งในเกมชนะ อูนิยง แซงต์ ชิลลัวส์
หากทำความเข้าใจในมุม คล็อปป์ เขาคงอยากซื้อเกมรุกจาก แม็ค อัลลิสเตอร์ เพื่อบุกสู้กับ ไบรท์ตัน แต่นั่นก็ไม่ใช่แบบที่เหมาะกับทุกสถานการณ์
การที่ เอลเลียตต์ ได้เล่นไปเพียง 45 นาทีก็พอจะเป็นการสื่อได้ว่า คล็อปป์ มองว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ของเขามันออกมาไม่ดีเหมือนที่ควรจะเป็น
แน่นอนว่า เอลเลียตต์ มีคุณภาพอยู่แล้ว แต่เขายังไม่อยู่ในช่วงวัยที่มีความเชี่ยวชาญมากพอจนถึงขนาดที่จะบรรเทาปัญหาด้านสรีระของตัวเองในเกมเยือนที่หินอย่างนัดนี้ได้
สิ่งที่ตอกย้ำถึงการเล่นเกมรับของ เอลเลียตต์ คือการที่เขาไม่มีจังหวะสกัดโดนบอลเลย, ตัดบอลไม่ได้สักครั้งเดียว และเอาชนะการดวลกลางอากาศไม่ได้จนหมดครึ่งแรกก็โดนเปลี่ยนตัวออก
อย่างไรก็ตาม เขาก็มีโอกาสที่จะแสดงให้เห็นถึงการตระหนักถึงสถานการณ์รอบด้านและคุณภาพที่ดีในจังหวะที่ปล่อยให้ ซาลาห์ ทำประตูตีเสมอให้กับทีมเหมือนกัน
แน่นอน มันเป็นธรรมดาที่นักเตะดาวรุ่งจะมีเกมที่แย่แบบนี้ได้ และ เอลเลียตต์ ก็ไม่ควรจะโดนตำหนิแบบรุนแรงจากเกมนี้
5. พระเจ้าห้ามสั่งให้ โดมินิค โซโบซไล บาดเจ็บเด็ดขาด!
นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ ลิเวอร์พูล ทุกครั้งที่ โดมินิค โซโบซไล ลงเล่นเป็นตัวจริง ไม่มีนัดไหนเลยที่เขาลงเล่นไม่ครบ 90 นาที บ่งบอกถึงความสำคัญของแข้งฮังการี ที่เราเห็นกันมาทุกนัด
ไม่ว่าทีมจะได้ผลการแข่งขันที่ดีหรือไม่ดี โซโบซไล ก็คงความมาตรฐานของตัวเองไว้ได้แบบไม่มีที่ติ
หากวันใดไม่มีเขาขึ้นมา น่าห่วงเหลือเกินว่ารูปแบบเกมจะออกมาเป็นอย่างไร
6. อย่าลืมว่านี่ถือเป็นการออกสตาร์ทที่ดี
สองเกมหลัง ลิเวอร์พูล ออกไปแพ้ สเปอร์ส แบบน่าเจ็บใจ และได้แค่แต้มเดียวจาก ไบรท์ตัน
ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่หากจะมีใครตำหนิทีม...
อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมนะครับว่า โดยรวมแล้วนี่ถือเป็นการออกสตาร์ทซีซั่นใหม่ที่น่าพอใจไม่น้อย
ช่วงที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล เจอโปรแกรมสุดหินกับการออกไปเยือนทีมที่มีผลงานโดดเด่น
แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ยังพาทีมเข้าสู่โปรแกรม ฟีฟ่า เดย์ ช่วงที่ 2 ของฤดูกาลด้วยการติดอยู่กลุ่มท็อปโฟร์
แล้วหากโชคชะตาไม่เล่นตลกที่กรุงลอนดอน ลิเวอร์พูล น่าจะขึ้นจ่าฝูงได้แบบสบาย ๆ เลยด้วยซ้ำ
แน่นอนว่า คล็อปป์ ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะ ทว่าผลงานที่ออกมาก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาลืมฝันร้ายจากซีซั่น 2022-23 ไปหมดแล้ว
ด้วยความที่โปรแกรมหลังจากนี้ดูเบากว่าช่วงที่ผ่านมา
มันเลยมีความเป็นไปได้สูงที่ ลิเวอร์พูล จะโกยแต้มได้แบบเป็นกอบเป็นกำผ่านทางรากฐานอันแข็งแกร่งที่พวกเขาวางไว้ได้มาจนถึงตอนนี้
โปรแกรมต่อจากนี้
21/10 : เอฟเวอร์ตัน (H)
26/10 : ตูลูส (H) ยูโรปา ลีก
29/10 : ฟอเรสต์ (H)
1/11 : บอร์นมัธ (A) คาราบาว คัพ
5/11 : ลูตัน (A)
09/11 : ตูลูส (A) ยูโรปา ลีก
12/11 : เบรนท์ฟอร์ด (H)
25/11 : แมนฯ ซิตี้ (A)
HOSSALONSO