ความเจ็บปวดที่ปรากฏบนสีหน้า เจอร์เก้น คล็อปป์
ภาพที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ เข้าไปปลอบประโลม โฌแอล มาติป ที่แทบล้มทั้งยืนกับจังหวะสกัดเข้าประตูตัวเอง
และผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่ทิ้งตัวบนผืนหญ้าด้วยความผิดหวัง
แม้สิ้นเสียงนกหวีด มันคือการสิ้นสุดค่ำคืนอันโหดร้ายที่เมืองหลวง ประเทศอังกฤษ
แต่ความปวดร้าวก่อตัวขึ้นมากมายท่ามกลางการยุติการไม่แพ้ใครใน พรีเมียร์ลีก 17 เกมติดต่อกัน
ความไม่ยุติธรรมยังดำเนินอยู่กับประตูที่ควรจะเกิดขึ้นของ หลุยส์ ดิอาซ
ทว่าสำหรับ ลิเวอร์พูล มีบางสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่านั้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นที่ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม
พวกเขาได้สร้างความประทับใจตลอดเกมการแข่งขัน
11 คน 10 คน แล้วเหลือ 9 คนทุกคนยืนหยัดสู้ไม่ยอมแพ้
"ผมบอกเด็ก ๆ พวกนี้ได้เลยว่า ผมโคตรภูมิใจ" คล็อปป์ เปิดเผยถึงความรู้สึกที่มีต่อลูกทีม
"ผมไม่เคยเจอเกมแบบนี้ที่เต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรมมากที่สุด"
"เราต้องรับมือกับมือ เราต้องอยู่ในเกม และเราต้องสู้กับมัน"
"ในการสร้างอะไรบางอย่างที่พิเศษ คุณต้องมีผู้เล่นที่สภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง และผมเห็นว่าในวันนี้ทุกคนมีความกล้าแกร่ง"
"ผมได้อะไรมากมายจากเกมนี้ และผมจะช่วยให้ลูกทีมรับถึงความรู้สึกนั้นเช่นกัน"
"ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากทีมของผม"
.
.
.
ความมีชีวิตชีวา และความไหลลื่นในการเล่นของ ลิเวอร์พูล 2.0 เป็นสิ่งที่ขาดหายไปเกือบตลอดทั้งฤดูกาลแล้ว
การเซ็นสัญญาผู้เล่นตอนซัมเมอร์ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มคุณภาพที่จำเป็นมากเท่านั้น
แต่พวกเขาเหล่านั้นยังเข้ามาช่วยเติมพลังให้กับทุกคนที่อยู่มาก่อน
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไม ลิเวอร์พูล ถึงปฏิเสธข้อเสนอมหาศาลจากทีม ซาอุดีอาระเบีย
คุณค่าของเขาที่มีต่อทีมยิ่งใหญ่มากกว่าตัวเงิน
มันควรจะเป็นอีกเกมที่ ซาลาห์ มีส่วนร่วมกับการทำประตู
เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น องค์กรผู้ตัดสินฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ บอกว่าเป็นเพียง "significant human error" -ข้อผิดพลาดร้ายแรงของมนุษย์-
เวลานั้น ลิเวอร์พูล อยู่ในสถานการณ์ไม่ดีอยู่แล้ว หลัง เคอร์ติส โจนส์ โดนใบแดงจาก ไซม่อน ฮูเปอร์
แต่เหตุใดผู้ตัดสินนามนี้ จึงได้รับสัญญาณภาพนิ่งเจาะจงจังหวะที่ โจนส์ เหยียบย้ำใส่ อีฟส์ บิสซูม่า แทนที่จะฉายภาพเหตุการณ์ตั้งแต่แรก
"มันดูแตกต่างไปจากภาพช้า เขายื่นขาเข้าหาบอล และมันเป็นความโชคร้าย" คล็อปป์ ตอบแบบซอฟท์ ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการโดนตั้งข้อหาจาก เอฟเอ
.
.
.
สปิริตยอดเยี่ยมและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
สองอย่างนี้ทำให้ ลิเวอร์พูล พร้อมเจอความท้าทายที่รออยู่
พวกเขาสู้อย่างหนักและยอมทำเพื่อกันและกัน, คอยไล่ปิดพื้นที่ และทำให้ สเปอร์ส ที่กำลังฟอร์มร้อนแรงเจอปัญหาได้
ตัดเรื่องผลการแข่งขันออกไป
คล็อปป์ ยอมรับว่าการที่ โคดี้ กัคโป ต้องออกจากสนามในสภาพที่มีอาการบาดเจ็บตรงหัวเข่าถือเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด
ที่จริงดาวเตะชาวดัตช์ดูไม่ดีเท่าไหร่ตั้งแต่ระหว่างเกมการแข่งขันอยู่แล้วจากจังหวะที่โดน เดสตินี่ อูโดกี้ เล่นงานในตอนที่เขาหมุนตัวแล้วทำประตูตีเสมอให้ทีมในช่วงก่อนพักครึ่ง แล้วต้องโดนถอดออกจากสนามเร็วกว่าที่คิดไว้
ในด้านแท็กติก ลิเวอร์พูล เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แม้ อลีสซง ต้องออกแรงเซฟสวย ๆ 2 ครั้งในช่วงต้นครึ่งหลังจากจังหวะของ เจมส์ แมดดิสัน และซน ฮึง-มิน
แต่โดยรวมแล้วนายด่านชาวบราซิเลี่ยนได้รับความช่วยเหลือเยอะมาก ๆ จากแนวหลังที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขา
แผน 4-4-1 ของ คล็อปป์ ต้องเปลี่ยนมาเป็น 5-3-0 จากตอนที่ ดีโอโก้ โชต้า โดนไล่ออกจากการได้รับใบเหลือง 2 ใบภายในระยะเวลาห่างกันแค่ 90 วินาที
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกมแพ้ สเปอร์ส 0-4 เมื่อช่วงเดือนกันยายน ปี 2011 ที่ ลิเวอร์พูล ต้องลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก โดยที่เหลือผู้เล่นในสนามแค่ 9 คน
เกมลีก 6 นัดแรกของฤดูกาลนี้มีนักเตะของพวกเขาโดนใบแดงไปแล้ว 4 ราย ซึ่งนั่นเท่ากับยอดรวมที่นักเตะของ ลิเวอร์พูล โดนไล่ออกในเกมลีก 178 นัดก่อนหน้านี้รวมกัน
แต่การที่พวกเขาโดนใบแดงเยอะในพักหลังมันไม่ได้หมายความว่าจู่ ๆ ทีมหันมาใช้การเล่นแบบดุดัน ใบเหลืองใบแรกของ โชต้า อาจจะดูรุนแรงเกินไปก็จริง ทว่าใบต่อมามันเป็นการเล่นที่ไม่สมเหตุสมผลสักนิด
ตอนนั้นเกมยังเหลือเวลาอีก 21 นาที แบบยังไม่นับรวมถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
สถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ดูเหมือนจะสิ้นหวัง ครอบครองบอลในครึ่งหลังแค่ 27 เปอร์เซ็นต์ ยืนหยัดสู้กับเกมรุกที่ถาโถมเข้าใส่
สเปอร์ส มีโอกาสยิงโดยรวม 24 ครั้ง แต่ในจำนวนนั้นมีถึง 14 หนที่เป็นการยิงจากนอกกรอบ และก็มี 12 ครั้งที่ลูกยิงโดนบล็อกได้
ขณะเดียวกัน สเปอร์ส ได้เปิดบอลเข้ามาจากด้านข้าง 23 ครั้ง และได้เล่นลูกเตะมุม 11 หน
ฟาน ไดค์ ตอกย้ำถึงคุณสมบัติของการเป็นกัปตันทีมได้อย่างรวดเร็ว
เขาเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกทีมด้วยฟอร์มการเล่นที่เคลียร์บอลได้ 8 ครั้ง, ขวางลูกยิง 6 หน และชนะการดวลทั้ง 4 ครั้ง
มาติป เองก็เล่นได้ดีพอ ๆ กันจากการเคลียร์บอลไป 10 หน, ตัดบอลได้ 1 ครั้ง และชนะการดวล 7 จาก 10 หน ส่วน โกเมซ เอาชนะการดวลได้ 7 ครั้งจาก 11 รอบ
โดมินิค โซโบซไล มิดฟิลด์ผู้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยแย่งบอลมาครองได้ 13 ครั้ง และวิ่งไล่นักเตะ สเปอร์ส ทุกจังหวะราวกับว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับสิ่งนี้
ลิเวอร์พูล เกือบจะได้ผลเสมอกลับบ้านแล้ว ซึ่งแทบจะเหมือนชัยชนะอันหอมหวานเลยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องมาช้ำใจจากลูกเปิดของ เปโดร ปอร์โร
"เมื่อบอลมันกระเด้งแบบแย่ ๆ อย่างนั้นแล้วน่ะ การเคลียร์ให้ขาดก็ทำได้ยากอยู่เสมอ" ฟาน ไดค์ เปิดใจถึงจังหวะทำเข้าประตูตัวเองของ มาติป
"โฌแอล เป็นเพื่อนที่ดีของผม และผมรู้ว่าเขาจะไม่เป็นอะไร"
"เดอะ ค็อป" ที่ยกพลมาเยือน ลอนดอน ส่งเสียงให้กำลังใจทีมรักเต็มที่
โดยนักเตะเหล่านั้นต่างก็ชูมือขึ้นมาพร้อมกับตบตราสโมสรตรงหน้าอก
พวกเขาแพ้ก็จริง แต่มันก็เป็นหลักฐานที่ตอกย้ำมากขึ้นว่า ลิเวอร์พูล กำลังเป็นทีมที่แข็งแกร่งสุด ๆ อีกครั้ง
HOSSALONSO