บรรยากาศชวนให้ขนลุกตั้งแต่บอลยังไม่เขี่ย เพลงชาติของเหล่ายิด'When Spurs Go Marching In"กระหึ่มทั้งสี่ทิศ แน่นอนว่ามันเป็นเกมที่พวกเขาตั้งความหวังไว้สูงว่าจะรักษาฟอร์มออกสตาร์ทได้ดีต่อไปถึงคู่ต่อสู้จะเป็นทีมที่พวกเขามักแพ้ทางก็ตาม
ก็ครั้งสุดท้ายที่สเปอร์สเอาชนะลิเวอร์พูลได้ก็ต้องย้อนไกลถึงตุลาคมปี2017โดยนับจากนั้นมาอีก11ครั้งในลีก เก็บไปได้เพียงสามแต้มเท่านั้น
มันเหมือนมวยที่ถูกคู่ มาเจอกันถูกเวลาก็ได้ ต่างเริ่มต้นซีซั่นในยุคปรับปรุงใหม่ได้เร้าใจ นี่จึงเป็นเกมที่ถือว่าพิสูจน์พวกเขาทั้งสองไปในตัว
จะอังเก้ ปอสเตโคกลูหรือเจอร์เก้น คล็อปป์ก็ตามย่อมปรารถนาอะไรแบบนี้เช่นกัน ยกตัวอย่างคล็อปป์ที่เคยผิดหวังในแมตช์เปิดสนามที่ออกเยือนเชลซีจบเสมอ1-1เนื่องจากวันนั้นลูกทีมของเขาเล่นไม่ได้ดั่งใจ เกมเพรสทำไม่ได้ไม่ดี ครองบอลก็ไม่ได้
"เราพยายามปรับปรุงกันใหม่ตั้งแต่นั้น ผมคิดว่าเรายกระดับตัวเองขึ้นมาได้น่าชื่นชมแต่เกมกับท็อตแน่มจะบอกเราว่าเรามาถึงจุดไหน"โค้ชดอยทช์ผู้นิยมการสวมหมวกกล่าวไว้ก่อนเกม
พลันที่นกหวีดยาวดังเท่านั้น เชื่อเลยว่าระบบการเต้นของหัวใจของผู้ที่เฝ้าชมเกมก็ย่อมทำงานกันในสปีดที่สูงขึ้น มันเป็นการสู้กันที่สมน้ำสมเนื้อที่สุด ต่างพยายามทำให้อีกฝั่งเพลี้ยงพล้ำด้วยวิธีการเดียวกันได้แก่เพรสซิ่งเร็ว
น่าสนใจอย่างยิ่งว่าหากเกมดำเนินไปโดยที่ต่างมีตัวเท่ากันไปจนครบ90นาทีจะเป็นอย่างไร? น่าสนใจกว่านั้นว่าถ้าการตัดสินที่อุตสาห์เอาเทคโนโลยีอันก้าวล้ำมาใช้ถูกต้องแล้ว ผลลัพธ์จะออกมาในรูปไหน??
อย่างหนึ่งสำหรับทีมใดก็ตามที่ต้องเหลือเพียง9คนโดยคนแรกโดนไล่ตั้งแต่กลางครึ่งแรก ส่วนคนต่อมาต้องออกไปอาบน้ำก่อนเพื่อนช่วงกลางครึ่งหลังแล้วยังยืนหยัดได้จนเกือบได้แต้มออกไปก็ย่อมแสดงออกมาให้รับรู้ถึงความเป็นทีมที่ดีเยี่ยม
นี่ไม่ใช่หนแรกด้วยที่ทีมของคล็อปป์ต้องมีตัวน้อยกว่าในฤดูกาลนี้
ตอนนี้สกอร์ยัง1-1จึงได้ยินเสียงตะเบ็งลำคอดังจากตรงมุมธงที่อัดแน่นไปด้วยฝูงเดอะ ค็อปต่อเนื่อง"Liverpool Liverpool Liverpool"
ภาพรวมมันจึงเป็นเกมที่ดี...
ด้วยคุณภาพกับตัวเลือกสำรองที่จำกัดจึงทำให้ปอสเตโคกลูแก้เกมอะไรได้ไม่มาก ต่อให้สถานการณ์เป็นใจให้แล้วก็ยังทำให้กองเชียร์ตัวเองหงุดหงิดที่ได้แต่ผ่านบอลไปมาแถวหน้ากรอบเขตโทษลิเวอร์พูล โชคดีของสเปอร์สที่ได้อานิสงส์สกัดเข้าตัวเองจากโฌแอล มาทิปตอนทดเจ็บนาทีสุดท้าย
อีกนั่นแหละสำหรับทีมที่เสียดาวเตะหมายเลขหนึ่งให้บาเยิร์นไปตอนซัมเมอร์ ทีมที่มักโดนล้อจากคู่แข่งงด้วยศัพท์จำเพาะว่า'spursy'(ท่าดีทีเหลว)แต่ตอนนี้ทีมนั้นผ่านมา7เกมกระโดดมารั้งอันดับสอง ตามแมนฯซิตี้เพียงแต้มเดียว
นับรวมจากสองฝั่งต่างผลิตโอกาสรวมได้ถึง36ครั้ง
เพราะนี่คือเกมที่ต่างตั้งหน้าตั้งตาเซตเกมบุกเข้าใส่อีกฝั่งแต่ก็ต้องมามีดราม่ากระชากอารมณ์จากความผิดพลาดของผู้ตัดสินกับVARอีกตามเคย
ครั้งที่เท่าไรแล้วที่หลังเกมได้เห็นแถลงการณ์ของโทษจากPGMOL
กี่หนแล้วที่ลูกง่ายๆที่ไม่ต้องใช้เวลาให้สิ้นเปลืองก็มองออกว่าควรพิจารณาออกมาอย่างไรก็ดันทำตัวเหมือนโดนใครจ้างวานมาให้เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้น
ตลกที่สุดก็ตรงรายละเอียดที่เปิดเผยว่าดาร์เรน อิงแลนด์ ผู้ตัดสินในห้องVARดูภาพช้าแล้วจังหวะหลุยส์ ดิอาซหลุดไปยิงก่อนรายงานกลับไปให้ไซม่อน ฮูเปอร์ในสนามว่า'check complete'โดยอิงแลนด์คิดว่าในสนามให้ลูกดิอาซได้ประตูจึงพูดกลับไปอย่างนั้น
นี่ดูเกมจริงๆหรือ
นี่ลีกที่ดีสุดในโลกแน่นะ
หรือต่อให้เกิดความเข้าใจผิดแต่ตอนที่บอลมาตั้งฟรีคิกให้ล้ำหน้าดิอาซก็ส่งสัญญาณบอกฮูเปอร์ได้อีกรอบว่า"ลูกนี้ไม่ล้ำหน้า ต้องให้ประตูลิเวอร์พูล"
นึกออกไหมว่ามันมีเวลาที่แก้ไขได้แต่ก็คล้ายว่าปล่อยให้ผ่านไปตามน้ำ
ส่วนเรื่องสองแดงของเคอร์ติส โจนส์กับดีโอโก้ โชต้าก็เช่นกัน มันไม่ได้เคลียร์ชัด100%เพียงแต่เรื่องทำนองนี้ก็เกิดขึ้นมาตลอด ใช่ว่าคือครั้งแรกและใช่ว่าลิเวอร์พูละจะเป็นทีมแรกที่เสียประโยชน์จากตรงนี้
ในเมื่อมาตรฐานของVARทำได้แค่นี้ แทบทุกสัปดาห์ได้ที่ต้องมีให้บ่นและหัวเสียกันก็ควรยกเลิกไปเลยจะดีกว่าไหม
เอาแบบลูกทุ่งๆเหมือนสมัยก่อนให้ผู้ตัดสินในสนามเป่าไปพอ อย่างน้อยก็ยังเข้าใจและยอมรับได้ว่าจะเอาอะไรมากกับมนุษย์ด้วยกัน
เป็นเกมที่ชี้ถึงคุณภาพของสเปอร์สกับลิเวอร์พูลว่าทำกันได้ดีเลย
ยกเว้นอย่างเดียวที่คงไม่เป็นโล้เป็นพาย...
"ไก่ป่า"