สถานการณ์ของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ต้องบอกว่าน่าเป็นห่วงเหลือเกิน เพราะผลงานของเขากับ เชลซี ดูแล้วช่างหดหู่จริงๆ ยิ่งเมื่อเทียบกับเม็ดเงินลงทุนที่สโมสรทุ่มลงไปช่วงซัมเมอร์นี้ ยิ่งทำให้เห็นว่าเก้าอี้กุนซือของ "พอช" กำลังสั่นคลอนสุดๆ
"สิงโตน้ำเงินคราม" เป็นสโมสรที่ใช้จ่ายอย่างมหาศาลนับตั้งแต่ ท็อดด์ โบห์ลี่ มหาเศรษฐีชาวอเมริกันเข้ามาเทคโอเวอร์ โดยเฉพาะช่วงตลาดพ่อค้าแข้งรอบแรกเขาเซ็นเช็คให้ โปเช็ตติโน่ จับจ่ายใช้สอยผู้เล่นที่ต้องการมากกว่า 434.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 19,552 ล้านบาท)
หนึ่งในนั้นคือ มอยเซส ไกเซโด้ กองกลางทีมชาติเอกวาดอร์ ที่ย้ายมาจาก ไบรท์ตัน ด้วยค่าตัว 115 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,175 ล้านบาท) และ โรเมโอ ลาเวีย มิดฟิลด์ดาวโรจน์ จาก เซาธ์แฮมป์ตัน ค่าตัว 58 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,552 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตามผลงานในสนามของ เชลซี สวนทางกับการลงทุนอย่างสิ้นเชิง ล่าสุดพวกเขาแพ้ "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า 0-1 คาถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ส่งผลให้ตอนนี้ทีมสะกดคำว่าชนะไม่เป็นในลีก 3 แมตช์ติดต่อกัน (แพ้ 2 เสมอ 1) มีเพียง 5 คะแนนรั้งอันดับ 14 ห่างจากท็อปโฟร์ 9 แต้ม
ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ โบห์ลี่ และบรรดาบอร์ดบริหารของทีมเริ่มจับตาผลงานของ โปเช็ตติโน่ อย่างใกล้ชิด ที่สำคัญช่วงสัปดาห์นี้กำลังเกิดกระแสข่าวลือถาโถมอย่างนักว่าสโมสรกำลังควานหากุนซือฝีมือดีคนใหม่เพื่อเตรียมเสียบแทน นายใหญ่ชาวอาร์เจนไตน์
ล่าสุด เบห์ดัด เอ็คห์บาลี เจ้าของร่วมทีม เชลซี รุดเข้าห้องแต่งตัวนักเตะหลังจบเกมแพ้ วิลล่า คาบ้าน โดยในเนื้อข่าวอ่านว่าเขาเข้าไปเพื่อพูดคุยกับนักเตะ และพร้อมหนุนหลัง "พอช" แต่ถ้ามองด้วยหลักเหตุและผลการทำแบบนี้เปรียบเสมือนการโยนแรงกดดันใส่ โปเช็ตติโน่ ชัดๆ
กระนั้น โปเช็ตติโน่ ได้ออกมาขอเวลาในการสร้างทีม เพราะเขามองว่าที่ผลงานของทีมไม่เป็นไปตามคาด เพราะเกิดจากปัญหาผู้เล่นหลักหลายคนบาดเจ็บ อาทิเช่น คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู, เวสลี่ย์ โฟฟาน่า, อาร์มานโด้ โบรย่า, รีซ เจมส์, โรเมโอ ลาเวีย และ เบอนัวต์ บาเดียชิล เป็นต้น
ถ้าในกรณีที่ อดีตโค้ช ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ออกมาพูดเพื่อขอเวลาในการปลุกปั้นเชลซี แล้วบอร์ดบริหารจะสามารถอดทนกับผลงานของเขาได้นานแค่ไหน เรื่องนี้น่าสนใจมากๆ เนื่องจากโปรแกรมของ "สิงห์บลูส์" ก่อนและหลังช่วง "ฟีฟ่าเดย" (9-17 ตุลาคม) บอกเลยว่าโคตรหฤโหด
เริ่มตั้งแต่เกมคาราบาว คัพ ที่ต้องรับมือ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ทีมฟอร์มแรงในแมตช์นี้ บอกเลยว่าอาจจะทำให้เก้าอี้ของ "พอช" สั่นคลอนมากยิ่งขึ้นถ้าหากพวกเขาไม่สามารถเก็บชัยชนะในเกมนี้ได้ แม้ว่าถ้ามองตามจริง "เดอะ ซีกัลส์" อาจไม่ใช้ผู้เล่นชุดหลักลงสนาม ดังนั้นโอกาสที่ เชลซี จะพลาดน่าจะน้อย
จากนั้นทีมต้องเยือน ฟูแล่ม ในเกมลีกมันเดย์ไนท์ ซึ่งจะว่ายากก็ยากจะว่าง่ายก็ง่าย แต่สำหรับศึกดาร์บี้แมตช์ไม่ใช่อะไรที่ง่ายแน่นอน ตบท้ายก่อนช่วงเกมพักเบรกทีมชาติ พวกเขาต้องเยือน เบิร์นลี่ย์ ซึ่งเป็นโอกาสทองที่ทีมจะเก็บชัยชนะเพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมา
หลังจากหมดช่วง "ฟีฟ่าเดย์" บอกเลยว่าเป็นช่วงมหกรรมหฤโหดของ เชลซี อย่างแท้จริง โดยเปิดหัวมาก็ต้องทำศึกลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ ปะทะ "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ที่ตอนนี้ต้องยอมรับว่าฟอร์มเหลือกว่าหลายขุม จากนั้นก็ดวลกับ เบรนท์ฟอร์ด ในบ้านอีกแมตช์
ที่สำคัย 3 เกมต่อจากนี้อาจจะเป็นการชี้ชะตาอนาคตของ โปเช็ตติโน่ เลยก็ว่าได้ เพราะทีมต้องออกไปเยือน "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ตามด้วยรับมือ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี ตบท้ายเดือนพฤศจิกายนบุกรังเซนต์ เจมส์ พาร์ค ปะทะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
งานนี้ต้องยอมรับว่าโปรแกรมของ เชลซี สุดโหดเหลือเกิน แต่หากมองอีกมุมหนึ่งถ้าหาก โปเช็ตติโน่ สามารถทำผลงานได้ดี นั่นอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ เชลซี กลับมาลุ้นความสำเร็จ แต่ถ้าทำไม่ได้....บทสรุปคงรู้ว่าเป็นยังไง !!!
8 เกมสุดโหด เชลซี ก่อนและหลัง ฟีฟ่า เดย์
27 ก.ย. พบ ไบรท์ตัน (เหย้า) คาราบาว คัพ
2 ต.ค. พบ ฟูแล่ม (เยือน) พรีเมียร์ลีก
7 ต.ค. พบ เบิร์นลี่ย์ (เยือน) พรีเมียร์ลีก
21 ต.ค. พบ อาร์เซน่อล (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
28 ต.ค. พบ เบรนท์ฟอร์ด (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
7 พ.ย. พบ สเปอร์ส (เยือน) พรีเมียร์ลีก
12 พ.ย. พบ แมนฯ ซิตี้ (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
25 พ.ย. พบ นิวคาสเซิ่ล (เยือน) พรีเมียร์ลีก
ทอมเม้ง