โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ กับแนวคิดและปรัชญาที่พา ไบรท์ตัน บินสูง

โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ กับแนวคิดและปรัชญาที่พา ไบรท์ตัน บินสูง
ณ โคเวียร์ชาโน สถาบันการฝึกอบรบโค้ชที่ตั้งอยู่เมืองฟลอเรนซ์...

โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ ได้จัดทำวิทยานิพนธ์ในหัวข้อแนวคิดฟุตบอลแบบฉบับของตัวเอง

สถาบันแห่งนี้ ผลิตยอดโค้ชมากฝีมือหลายต่อหลายคน ซึ่งหลายคนในนั้นสร้างผลงานกระฉ่อนบนเวที พรีเมียร์ลีก

จาก คาร์โล อันเชล็อตติ, โรแบร์โต้ มันชินี่, เคลาดิโอ รานิเอรี่ มาจนถึง อันโตนิโอ คอนเต้ 

และปัจจุบัน เด แซร์บี้ กำลังพา ไบรท์ตัน บินสูงอยู่ในตอนนี้

เนื้อหาธีสิสในมือ เด แซร์บี้ บ่งบอกถึงวิธีการเล่นของ ไบรท์ตัน ที่เขาเพิ่งคุมทีมครบหนึ่งปีเต็มมาหมาด ๆ 

หลังจบเส้นทางอาชีพนักฟุตบอล ในฐานะกองกลางตัวรุก เด แซร์บี้ ก็มุ่งหน้าสู่การเป็นโค้ชทันที

แนวทางการเล่นของ เด แซร์บี้ คือการสร้างเกมจากผู้รักษาประตู ก่อร่างสร้างระบบด้วยการผ่านบอลอันแม่นยำ

"ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ ฟุตบอลแตกต่างไปจากเดิมเยอะเลย" อดัม ลัลลาน่า หนึ่งในพี่ใหญ่สุดของ ไบรท์ตัน กล่าวเมื่อได้ร่วมงานกับเจ้านายชาวอิตาเลี่ยน

ขณะที่ ลูอิส ดังก์ บอกในทำนองเดียวกันว่า "ผมเห็นฟุตบอลที่ต่างจากเดิมไปแบบสิ้นเชิง นับตั้งแต่ผู้จัดการทีมคนใหม่เข้ามา"

กับฤดูกาลเต็มตัวครั้งแรกของ เด แซร์บี้ ที่ ไบรท์ตัน ผ่านไป 5 นัด เขาพาทีมเก็บได้ถึง 12 คะแนนจากชัยชนะ 4 เกม 

และย้อนไปซีซั่นก่อน จบปีด้วยการรั้งอันดับ 6 คว้าตั๋วไป ยูโรปา ลีก รายการฟุตบอลยุโรปหนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร

การเดิมพันสูงขึ้น แต่วิธีการของ เด แซร์บี้ ยังไม่เปลี่ยนไป "แนวคิดการเป็นโค้ชคือก้าวหน้าต่อไปในทุก ๆ วัน ทุก ๆ สัปดาห์ ทุก ๆ เดือน" 

นั่นคือคำพูดของกุนซือวัย 44 ปีที่บอกกับ ดิ แอธเลติก

"คุณสามารถเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่าง คุณสามารถทำอะไรที่แตกต่าง หรือเปลี่ยนแปลงไปเมื่อขึ้นกับผู้เล่น แต่เรื่องของ ดีเอ็นเอ มันยังคงเหมือนเดิม"

"ดีเอ็นเอ นั้นคือการเล่นในแบบของผม คาแรกเตอร์ของผม ประวัติศาสตร์ของผม ครอบครัวของผม สิ่งที่ผมเคยเป็นสมัยเป็นผู้เล่น ผมใส่ความเป็นตัวเองไว้ในงานของผม"

"ผมมีความคิดที่ชัดเจนในหัวของผม เราทุกคนสามารถพูดคุยเรื่องฟุตบอลได้ แต่การลงรายละเอียดในสถานการณ์ที่แตกต่าง, การเปลี่ยนแปลง, วิธีการแก้ไข มันต่างกัน"

เกมที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อคืนวันเสาร์ 11 คนแรกของ ไบรท์ตัน เปลี่ยนแปลงผู้เล่นหลายตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้รักษาประตูยันกองหน้า

เจสัน สตีล แทน บาร์ท แฟร์บรุกเก้น

ทาริค แลมป์ตีย์ แทน เปร์วิส เอสตูปิญาณ

โมฮาเหม็ด อาฮูด แทน บิลลี่ กิลมอร์ 

อดัม ลัลลาน่า แทน ซอลลี่ มาร์ช

ซิมง เอดินกร้า ประเดิมตัวจริงแทน เชา เปโดร

หรือจะดรอป อีแวน เฟอร์กูนสัน ที่เพิ่งทำแฮตทริกใส่ นิวคาสเซิ่ล แล้วส่ง แดนนี่ เวลเบ็ค เล่นแทน

แต่ผลที่ออกมา รูปแบบการเล่นของพวกเขา ไม่ต่างไปจากเดิมเลย

.

.

.

เบรสชา ที่บ้านเกิดของ เด แซร์บี้ และเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่เขาไปเล่นแบบยืมตัวระหว่างการเล่นอาชีพ

เขาเริ่มต้นกับ เอซี มิลาน มีจุดสูงสุดกับ นาโปลี แต่ชีวิตของ เด แซร์บี้ เคยผ่านการลงเล่นลีกสูงสุด อิตาลี แค่ 3 นัดเท่านั้น

ซึ่งประสบการณ์ที่ได้รับ มันก็มีทั้งดีและแย่จนเป็นตัวกำหนดให้เขาเกิดมีปรัชญาในการเป็นโค้ช

"ผมอยากสนุกน่ะนะ" เขาเผย

"ผมกำลังใช้ชีวิตอยู่ในความฝัน เป็นความฝันที่คุณต้องสนุก การได้อยู่ ไบรท์ตัน, ชัคตาร์, ซัสซูโอโล่ ผมสนุกกับมันมาก ซึ่งอย่างแรกเลยคือต้องสนุกกับมันก่อน"

"อย่างที่สองคือการรักษาสภาพจิตใจตอนที่ผมยังเป็นผู้เล่น ผมต้องการเป็นคนสำคัญในสนาม ซึ่งการที่คุณจะเป็นแบบนั้นได้ คุณต้องได้เล่นกับบอล"

"มันคือการเริ่มต้นของการครอบครองบอล ผมเป็นนักเตะหมายเลข 10 คุณจะชนะได้ก็ต้องมีผู้เล่นหมายเลข 10, หมายเลข 11, หมายเลข 9 และหมายเลข 7 เพราะพวกเขาเป็นผู้เล่นที่มีคุณภาพมากกว่าใคร"

"และเพื่อจะทำให้เห็นคุณภาพ พวกเขาจึงต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสมในการเล่น"

"และเมื่อเริ่มที่จะเซตบอล เราต้องหาผู้เล่นหมายเลข 7,หมายเลข 9, หมายเลข 10, หมายเลข 11 โดยที่บอลที่ได้เล่นนั้นต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ดี"

บรรดาผู้เล่นแนวรุก ไบรท์ตัน ต่างทำผลงานได้ดีในยุค เด แซร์บี้ อาทิทางฝั่งซ้ายที่มี คาโอรุ มิโตมะ รวมถึงเด็กวัย 18 อย่าง อีแวน เฟอร์กูนสัน 

ทั้ง มิโตมะ และ เฟอร์กูสัน สร้างความอันตรายให้กับฝ่ายตรงข้าม ร่วมกันทำ 26 ประตู และ 15 แอสซิสต์ ระหว่างที่พวกเขาลงเล่นรวมกัน 77 เกม

ถามว่า สิ่งที่เราเห็น ไบรท์ตัน ยุค เด แซร์บี้ มันเกิดจากความที่เขาไม่ประสบความสำเร็จตอนเป็นนักฟุตบอลรึเปล่า ?

เขาเผยถึงเรื่องนี้ว่า "มันก็ใช่นะ เพราะตอนที่ผมเป็นผู้เล่น ผมไม่ได้ตัดสินอะไรเอง"

"ผมเคยเป็นผู้เล่น และผมต้องทำตามกฎ ตอนนี้ ผมสามารถตั้งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ และผมต้องการให้ผู้เล่นของผมอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเพื่อความสนุก เพราะว่าเราโชคดีที่ได้เล่นฟุตบอล เราโชคดีที่ได้ทำงานกับฟุตบอล"

"มันไม่ใช่เรื่องน่าหงุดหงิดหรอกนะ โฟกัสมันต่างกัน ผมโชคดีมาก เพราะผมมีอีกโอกาสที่เข้ามาในชีวิต"    

"มันเหมือนอย่างกับมี 2 ชีวิตเลยล่ะ ชีวิตแรกคือการเป็นผู้เล่น และอีกชีวิตคือการเป็นโค้ช"

"ผมสามารถแก้ไขในเรื่องผิดพลาดในอดีตได้ และผมสามารถทำได้ดีขึ้น ผมมีอีกชีวิตหนึ่งที่สถานการณ์แตกต่างออกไป"

.    

.    

.

สไตล์ฟุตบอลของ เด แซร์บี้ คือการล่อหลอกคู่แข่งที่ชอบเล่นแบบเพรสซิ่งไม่ว่าจะสูงหรือต่ำให้เข้ามาหา เแล้วเลือกการผ่านบอลแม่นยำในเวลากับการเคลื่อนที่ที่เหมาะสม

การทำงานของ เด แซร์บี้ ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เป็นแฟนบอลของทีมบ้านเกิด

"ผมรับเอาสไตล์การทำงานมาจากครอบครัว"     

"ผมชอบการทำงานแบบจริงจัง งานเป็นสิ่งสำคัญ ผมเอาความเคาพต่อแฟน ๆ มากจากครอบครัวของผม ผมเป็นแฟนบอล เบรสชา และมันเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เล่นจะต้องเคารพแฟนบอล"

"แฟนบอลจ่ายตั๋วปี และเมื่อพวกเราลงเล่นในสีเสื้อนั้น เราต้องเล่นเพื่อพวกเขา, เพื่อสโมสร และเพื่อผู้คนที่ทำงานในนั้น พวกเขาไม่ได้ลงเล่นในสนามก็จริง แต่พวกเขาทำงานให้กับสโมสร และแฟน ๆ"

"เราสามารถเปลี่ยนทีมได้ แต่แฟนบอลจะอยู่กับทีมตลอดไป"

"เราต้องรู้ถึงความสำคัญของแฟนบอล และต้องเคารพต่อสโมสร"

.    

.

.

แม้ว่าตอนนี้ เด แซร์บี้ จะกำลังไปด้วยดีกับ ไบรท์ตัน และมีความมั่นใจในความสามารถของตัวเองในฐานะโค้ช

แต่ก็มีเหมือนกันที่เขาตั้งคำถามถึงการเปลี่ยนสไตล์เกมรุกของตัวเอง

มันเกิดขึ้นตอนช่วงแรก ๆ เริ่มจากเปิดตัวด้วยการบุกเแบ่งแต้ม ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ 3-3 นัดต่อมาแพ้คาบ้านต่อ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ 0-1 นัดสามพ่าย เบรนท์ฟอร์ด และนัดสี่เจ๊า น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ไร้สกอร์

4 เกมแรก4 เกมแรกของเขากับ "นกนางนวล" เก็บได้เพียง 2 แต้ม ยิงได้สามประตูก็จริง แต่เกิดขึ้นในเกมเจอ "หงส์แดง" นัดเดียว

เกมที่ 5 ไบรท์ตัน มีคิวบุกรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

เด แซร์บี้ ต้องดวลกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซึ่งเป็นอดีตผู้เล่น เบรสชา และเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อเขามากที่สุดในอาชีพเฮดโค้ช

ย้อนไปสมัยที่กุนซือสแปนิช คุมทัพ บาเยิร์น มิวนิค นั้น เด แซร์บี้ เดินทางไปเทือกเขาโดโลไมท์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ อิตาลี เพื่อดูการเก็บตัวช่วงปรี-ซีซั่นของทีม "เสือใต้"

ก่อนเกมเจอ แมนฯ ซิตี้ หนึ่งวัน เด แซร์บี้ ประชุมทีมกับเหล่าสตาฟฟ์เพื่อหารือกันว่าจะเล่นเกมรับให้มากขึ้นหรือยังจะยึดปรัชญาเกมบุกต่อไป

ไบรท์ตัน แพ้ต่อ ซิตี้ 1-3 ก็จริง แต่รูปเกมใกล้เคียงสูสีมากกว่าสกอร์ที่ปรากฏ เหล่าผู้เล่นต่างแสดงความสามารถของตัวเองออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม

"ใช่ แน่นอน แต่ไม่ใช่กับผมนะ" เด แซร์บี้ ตอบถึงเรื่องที่มีข้อสงสัยไหม

"ผมมีไอเดียที่แตกต่างออกไปในหัว แต่ผมก็ต้องเคารพผู้เล่นของผมด้วย"

"และก่อนที่คุณจะลงเล่นเจอกับทีมที่ดีสุดในโลก มันเป็นเรื่องปกติที่จะคิดว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง, เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์(เพื่อเจอกับทีมที่เก่งกว่า) แต่ผมไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนปรัชญาของผม"

"ผมเปลี่ยนไอเดียของผมไม่ได้"

ความพ่ายแพ้ต่อ "เรือใบสีฟ้า" ครั้งนั้น คือจุดเริ่มต้นสู่การคว้าชัย 6 จาก 8 เกม โดย 2 จากเกมเหล่านั้นเป็นการเอาชนะ เชลซี กับ ลิเวอร์พูล

ไบรท์ตัน ประสบความสำเร็จสูงสุดบน พรีเมียร์ลีก ซึ่งเกิดจากความทะเยอทะยานของ เด แซร์บี้

ถึงตอนนี้ เด แซร์บี้ ยังคงใช้ชีวิตอยู่บนปรัชญาฟุตบอลของตัวเอง

โทนี่ บลูม เจ้าของและประธานสโมสรไบรท์ตัน ให้นิยามถึงผู้จัดการทีมคนนี้ว่า -เสพติดฟุตบอล-

"ทำไมผมถึงต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ ?" ตอบถึงเรื่องว่าจะหยุดการหลงใหลในเรื่องฟุตบอลหรือไม่

"เอาตรง ๆ เลยนะ ถ้าผมรักที่จะทำงานในวงการฟุตบอล, ถ้าผมชอบดูเกมฟุตบอลทางทีวี, ถ้าผมชอบพูดกับสตาฟฟ์ของผมหรือคนในวงการฟุตบอลแล้วน่ะ"

"นั่นก็แปลว่านี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำงาน ไม่ได้เป็นแค่อาชีพ แต่เป็นสิ่งที่ผมมีแพสชั่นอย่างมาก"

"มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า เวลาที่เหมาะสมสำหรับการแสดงอารมณ์ร่วมขอบคุณ อารมณ์ร่วมมันมีอยู่ 24 ชั่วโมงต่อวัน"

"มันไม่ใช่ปัญหาเลย ถ้าผมสนุกผมก็จะพูดเกี่ยวกับฟุตบอล ถ้าผมอยากทำงานผมก็จะพูดเกี่ยวกับฟุตบอล"

ความหลงใหลแบบนี้กำลังทำให้ ไบรท์ตันฯ ในยุคของ เด แซร์บี้ ประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ

เรียบเรียงจาก The Athletic

HOSSALONSO


ที่มาของภาพ : GETTY IMAGE
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport