เรียกได้ว่าตอนนี้กองหลังแทบทุกทีมต่างก็ต้องหวาดกลัวกับฟอร์มของ เออร์ลิง ฮาลันด์ กองหน้าคนเก่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กันอย่างมาก หลังจากที่เขาออกสตาร์ตกับทีมใหม่ได้อย่างสุดยอดจนกดไปแล้ว 17 ประตูจากการลงเล่น 11 นัดในทุกรายการ แบ่งเป็น 14 ประตูในลีกกับ 3 ลูกใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
แน่นอน หลายคนยกย่อง ฮาลันด์ มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่เก่งที่สุดของวงการฟุตบอลในปัจจุบัน แต่ก็มีไม่กี่คนที่คาดคิดว่าเขาจะระเบิดฟอร์มโหดกับ แมนฯ ซิตี้ ได้รวดเร็วจนถึงขนาดทำประตูทิ้งห่างบรรดาแนวรุกคนอื่นๆ ใน พรีเมียร์ลีก ได้มากขนาดนี้ทั้งที่เขาเพิ่งได้ลงเล่นในลีกไปแค่ 8 นัดเท่านั้น
ด้วยผลงานที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้มันไม่น่าแปลกใจเลยที่หลายคนจะฟันธงว่า ฮาลันด์ จะคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดของศึก พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2022-23 ไปครองได้ แต่ที่บางคนสงสัยก็คือจำนวนประตูของเขาจะอยู่ที่เท่าไหร่ ?
หากนับเป็นค่าเฉลี่ยนั้นจนถึงตอนนี้ ฮาลันด์ ลงเล่นในลีกไป 83.1 นาทีต่อ 1 เกม เพราะมีบางนัดที่ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ตัดสินใจเปลี่ยนเขาออกมาพัก ถึงกระนั้นดาวเตะชาวนอร์เวย์ก็ยังมีค่าเฉลี่ยด้านการทำประตูที่น่าทึ่ง ด้วยผลงาน 1 ลูกต่อทุกๆ 47.5 นาที
ถ้าหาก ฮาลันด์ ยังรักษามาตรฐานการทำประตูแบบนั้นได้ต่อไป รวมถึงได้ลงเล่นเกมลีกทุกนัดที่เหลือของฤดูกาลนี้แล้วล่ะก็ มันก็หมายความว่าเขาจะทำประตูในลีกเพิ่มได้อีก 52 ลูก และหากนับรวมกับผลงานในตอนนี้ก็จะเท่ากับว่าเขาจะจบฤดูกาลด้วยจำนวน 66 ประตูในลีก
แน่นอน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นจะเป็นการทำลายสถิติการทำประตูสูงสุดต่อ 1 ซีซั่นของ พรีเมียร์ลีก ไม่ว่าจะทั้งในยุคที่เตะกัน 38 เกมต่อ 1 ฤดูกาล หรือสมัยที่ฟาดแข้งกัน 42 นัดต่อซีซั่นก็ตาม โดยในเวอร์ชั่น 38 เกมต่อฤดูกาลนั้นตำแหน่งมันตกเป็นของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เคยทำได้ 32 ประตูในฤดูกาล 2017-18 ส่วนยุคที่เตะกัน 42 นัด เจ้าของสถิติคือ แอนดี้ โคล กับ อลัน เชียเรอร์ ที่เคยยิงไป 34 ลูกในฤดูกาล 1993-94 กับ 1994-95 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิด ฮาลันด์ ยิงได้มากถึง 66 ลูกจริงๆ มันก็จะทำให้เขาทุบสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในหน้าประวัติศาสตร์ของลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ในยุคที่ลีกสูงสุดของอังกฤษยังใช้ชื่อว่า ดิวิชั่น 1 ด้วยซ้ำ โดยสถิติที่ว่าได้แก่ ดิ๊กซี่ ดีน ที่เคยสร้างผลงานอันสุดยอดด้วยการซัดไป 60 ประตูกับ เอฟเวอร์ตัน จากการลงเลานในลีก 39 นัด ในฤดูกาล 1927-28
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากเกมลีก 30 นัดหลังจากนี้ กวาร์ดิโอล่า ตัดสินใจให้ ฮาลันด์ ลงเล่นครบ 90 นาทีทุกเกมแล้วล่ะก็ ผลงานของ ฮาลันด์ ก็จะเหนือกว่านั้นอีก เพราะมันจะเท่ากับว่า ฮาลันด์ จะยิงเพิ่มได้ 56 ประตู โดยเป็นการวัดจากค่าเฉลี่ยที่เขาทำได้ 1.89 ลูกต่อ 90 นาทีนั่นเอง ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็จะทำให้เขาทำประตูได้ถึง 70 ลูกด้วยกัน
ขณะเดียวกัน เกมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมายังถือเป็นหลักไมล์สำคัญของ ฮาลันด์ ด้วย เพราะมันเท่ากับว่าเขาลงเล่นในทุกรายการให้กับทีมใน 5 ลีกใหญ่ของทวีปยุโรปเป็นจำนวนนัดที่ 100 พอดี หลังจากเคยลงสนามให้ ดอร์ทมุนด์ 89 นัดในทุกรายการ
ด้วยเหตุนี้ ฮาลันด์ เลยถือเป็นนักเตะที่สามารถทำประตูในการเล่นทุกรายการ 100 เกมแรกให้กับทีมใน 5 ลีกใหญ่ของทวีปยุโรปได้มากที่สุด ด้วยจำนวนรวมแล้ว 103 ลูก โดยสถิติเดิมเป็นของ โรมาริโอ ที่ทำเอาไว้ 90 ประตู
นักเตะที่ทำประตูภายในช่วง 100 นัดแรกของการลงสนามในทุกรายการให้กับทีมใน 5 ลีกใหญ่ของทวีปยุโรปได้มากที่สุด
1. เออร์ลิง ฮาลันด์ 103 ลูก
2. โรมาริโอ 90 ลูก
3. โรนัลโด้ 86 ลูก
4. รุด ฟาน นิสเตลรอย 77 ลูก
5. หลุยส์ ซัวเรซ 59 ลูก
เรียกได้ว่านี่เป็นช่วงที่ใครก็แทบจะหยุด ฮาลันด์ ไม่อยู่แล้ว และต้องจับตาดูกันว่าหลังจากนี้เขาจะสามารถยิงเพิ่มได้มากแค่ไหน
- เด็กเกร็ดบอล -