ก่อนตลาดปิด 24 ช.ม. ลิเวอร์พูลซื้อกองกลางตัวที่ 4 เสริมทัพแบบทันใจ
ไม่รู้ว่าซื้อมาช้ากว่ากำหนดหนึ่งปีหรือไม่ ด้วยเพราะปีก่อนไม่ยอมซื้อกองกลางมาเสริมทีม ได้ตัว "ตกใจ" อย่าง อาร์ตูร์ เมโล มาแบบไม่ได้ใช้งานอะไรเลย
ก่อน เจอร์เก้น คล็อปป์ ยอมรับในสามเดือนแรกว่า "ผิดพลาด" ที่ไม่เติมแดนกลาง
มาปีนี้เลยจัดหนักถ่ายเลือดแดนกลางซะใหม่ หลังจากทั้งขายและหมดสัญญาไป 5 คน ทั้ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ, อ๊อกส์, นาบี และ เจมส์ มิลเนอร์
คงเหลือไว้ ติอาโก้ อัลคันทารา ซึ่งไม่รู้ว่าหายกลับมาแล้วจะเล่นได้ต่อเนื่องขนาดไหน , ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, เคอร์ติส โจนส์, สเตฟาน บายเชติช เมื่อรวมกับตัวใหม่ อเลกซิส แมค อลิสเตอร์,โดมินิค โซโบสไล, วาตารุ เอนโด้ และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก เท่ากับมาทดแทนสี่ห้าคนที่จากไปพอดี
ว่าถึงกองกลางตัวใหม่เอี่ยมถอดด้ามวัย 21 ปีจากแดนกังหันลมนาม...
ไรอัน กราเฟนแบร์ก (เพื่อนชาวดัชท์ให้เสียงภาษาไทย) ที่ลิเวอร์พูล บรรลุข้อตกลงกับบาเยิร์น มิวนิค วงเงิน £34.2ล้าน บวกสัญญาตามน้ำอีก £5 ล้าน ซึ่งเงินค่าตัวที่เสือใต้ได้ไปนั้นต้องจ่ายให้สโมสรแม่ผู้สร้าง ไรอัน คือ อาแจกส์ อีกก้อนหนึ่งประมาณ 7.5% หรือ £2.2ล้านปอนด์
ที่เหลือคือการตรวจร่างกายเท่านั้น.....
แว้บเดียวในช่วงการทำงานของ ยอร์ก ชมัคเก้ ที่กำลังรอการประเมินว่าผ่าน "โปร" หรือไม่อย่างไร คว้านักเตะสี่คนในแบบ "ฉีกสัญญา" สองคน ไม่ต้องเจรจามาก และเจรจาอีกสองคนคือ เอนโด้ และ กราเฟนแบร์ก
ถือว่าเป็นตลาดที่สร้างความคึกคักกว่าตลาดที่แล้วที่มี ดาร์วิน นูนเยส มาเสริมแบบฮือฮาค่าตัวแพงคนเดียว ส่วน คัลวิน แรมซีย์ และ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ก็งั้นๆไป ไม่มีไรตื่นเต้น จนถึงช่วง ม.ค. ตลาดหน้าหนาวได้ โคดี้ กัคโป มาเติมเกมรุก
เอาเป็นว่าวันนี้ ชมัดเก้ น่าจะช่วยลดแรงเสียดทานในตัวของเขาลงได้อยู่ ถ้าว่ากันตามตรง ยุคถ่ายเลือดยังไง "ซื้อ" ดีกว่าไม่ซื้อ อย่างน้อยการขาย เฮนโดนและฟาบินโญ ออกไปสองคนก็เป็นเงินก้อนหนึ่ง (£52 ล้าน) เช่นเดียวกันกับการระบายนักเตะหลายคนที่กินค่าจ้างหลักแสนปอนด์ ออกไป
รวมๆแล้ว FSG ใช้เงิน £150 ล้าน กับมิดฟิลด์สี่คน น่าจะปิดบัญชีซื้อละมั้ง เพราะไม่ถึง 24 ช.ม. กับข่าวเชื่อมโยง ปิเอโร ฮินกาปิเย (หรือเปีย) ดีกรีทีมชาติเอกวาดอร์ ซึ่งราคาไปถึง £60 ล้าน ทั้งที่หงส์แดงต้องการให้ราคาแค่ £40 ล้าน
อันนี้รอดูช่วงเที่ยงคืนของเช้ามืดวันที่ 2 ก.ย. หรือเที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 1 ก.ย. แบบไทยๆ
เส้นตายตลาดซื้อขายพรีเมียร์ลีกปิดตัวลง
ไม่แน่ FSG อาจใจถึงพึ่งได้ สร้างความสุขให้สาวกหงส์แดง
รอลุ้น....
มาที่เรื่องของ ไรอัน กราเฟนแบร์ก กันบ้าง....
การมาของเขาจะเพิ่มมิติอย่างไรในแดนกลาง เนื่องจากว่าเราไม่ค่อยเห็นฟอร์มในทีมบาเยิร์น เท่าไหร่ ลองดูตัวเลขนะครับ
บุนเดสลีกา 32 นัดเป็นตัวจริงแค่ 3 นัด โดนเปลี่ยนตัวลงไปเล่น 21 นัด ไม่โดยเปลี่ยนตัว 8 นัด รวมๆ มีส่วนร่วมกับทีม 24 นัดก็จริงแต่จำนวนนาทีในสนามแค่ 559 นาที
โดยไม่มีเกมไหนในบุนเดสลีกาที่เขาเล่นครบ 90 นาที!!!
แชมเปี้ยนส์ ลีกมีชื่อเล่น 10 นัด ลงตัวจริง 2 นัด เปลี่ยนตัวลงสนาม 4 นัด ไม่โดนเปลี่ยนอีก 4 นัด ยังดีหน่อยได้เล่นครบ 90 นาทีสองเกม (ชนะอินเตอร์และ ว.ปลาเซน) จำนวนนาทีทั้งหมด 250 นาที
เดเอฟเบ และ ซูเปอร์คัพ อีกสามเกม 128 นาที
โดยภาพรวม....กราเฟนแบร์ก แทบไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในทีมเสือใต้ จะด้วยเหตุผลทางแทกติกของทั้ง ยูเลียน นาเกลส์มันน์หรือว่า โทมัส ทูเคิล ที่รูปแบบแดนกลางนั้นยังคงยึดติดกับ โจชัว คิมมิช-ลีรอย โกเรตส์ก้า ทำให้ กราแฟนเบร์ก แทรกตัวเข้าไปยากเหลือเกิน
อีกทั้ง คอนราด ไลเมอร์ ถูกดึงตัวเสริมทีม บวกกับ ราฟาแอล เกรเรโร ที่เล่น อินเวิร์ต ฟูลแบ๊กได้อีก แล้วถ้าเสือใต้ ดึง เชา ปาลินญา จะฟูแล่มได้ นั่นเท่ากับโอกาสที่จะลงเล่นของ กราเฟนแบร์ก น้อยลงมากกว่าเดิม
โอเค....เมื่อนึกภาพการเล่นของเขาไม่ออกกับเสือใต้ ผมขอทบทวนตำแหน่งและสไตล์การเล่นของเขาในฐานะที่บรรยายฟุตบอล ดัชท์ ลีก รอบสามปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ เขาถูก เอริก เทน ฮาก ดันขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่เมื่ออายุ 17 ปี
กราเฟนแบร์ก คือเบอร์ 8 ที่รับผิดชอบด้านซ้ายของสนามครับ
ซีซั่น 2019-20 ช่วงโควิดนั่นแหละที่เขาได้โอกาสมากขึ้นจาก เทน ฮาก ในวัย 17 ปีกับการลงสนาม 12 นัด ก่อนทะลุขึ้นมายึดตัวจริงแบบเต็มตัว ซีซั่น 2020-21 ที่ลงสนามทุกรายการ 52 นัด ดัทช์ลีก, ชปล, ยรป (ตกรอบมาเล่น), ดัชท์ คัพ เป็นตัวหลักของทีมอย่างแท้จริง
ในช่วงแรกนั้น เทน ฮาก จับเขาเล่นสองบทบาท โดยเน้นที่เบอร์ 8 เขายืนตำแหน่งนี้กับ ดาวี คลาเซน โดยมีเบอร์ 6 ประจำทีมคือ เอดซอน อัลบาเรส ที่เวสต์ แฮม กระชากตัวมาจากอาแจกส์ และส่งลงสนามไปแล้ว
มันมีรายละเอียดเชิงแทกติกปลีกย่อยคือ.....ถ้าเกมไหนต้องการให้ กราเฟนแบร์ก รับเป็นพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่เจอของแข็ง เช่น พีเอสวี, เฟเยนูร์ด หรือว่า อัลคมาร์ เขาจะถอยมาเป็น "ดับเบิล6" กับ อัลบาเรส ตัวตัดเกมจังโก้ ทันที....
เพียงแต่พื้นที่ประจำการของเขาคือ "ด้านซ้าย" และต้องประสานงานกันกับ ดูซาน ทาดิช และ ดาเลย์ บลินด์ แบกซ้ายของทีม เป็นหลัก
ซีซั่นต่อมา 2021-22 ทีมซื้อตัวรุกมาเสริมอย่าง สตีเฟน เบิร์กเฮาส์ ที่เล่นได้ทั้งปีกขวาและมิดฟิลด์เบอร์8 ทำให้ กราเฟนแบร์ก เล่นกับ เบิร์กเฮาส์ ในตำแหน่งเบอร์ 8 ได้ รวมทั้ง โมฮัมเหม็ด คูดุส อีกคน
ภาพรวมๆส่วนใหญ่เขาคือเบอร์ 8 แต่ถ้า...เทน ฮาก ต้องการให้เน้นเกมรับเป็นพิเศษสำหรับตัวเขา กราเฟนแบร์ก จะยืนต่ำมาคู่กับ อัลบาเรส เป็น "ดับเบิล6" ทันที โดยช่วงสองปีที่ เทน ฮาก ใช้งานของเขาอยู่นั้นมีข่าวว่า "แมวมอง" เจเค ตามดูฟอร์มอยู่ เป็นหนึ่งในเป้าหมาย เพียงแต่ปีที่แล้วเขาเลือก "เสือใต้" มากกว่า
สุดท้ายก็มาอยู่ในอ้อมอก คล็อปป์ จนได้
เอาละ....มาถึงจุดนี้ว่ากันถึงคุณสมบัติเด่นของเขาก่อนนะครับ
1 เทคนิคดี ครองบอลได้
2แข็งแกร่ง
3 เล่นหน้าไลน์เกมรับคู่แข่งได้
4 ดุดันในจังหวะตัดเกม
แล้วJK จะจัดแดนกลางอย่างไร... ในเมื่อมีทั้ง แมกก้า, โซโบ, เอนโด ที่คาดว่าน่าจะได้รับโอกาสยืนตัวหลัก โดยเมื่อได้ กราเฟนแบร์ก มาเสริม ยังมี โจนส์, เอลเลียตต์, ติอาโก อีก
มันมีความเป็นไปได้ที่แดนกลางจะยืดหยุ่นมากขึ้น รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่ เจเค จะโรเตชั่น มากขึ้นทั้งตัวและตำแหน่ง
กราเฟนแบร์ก สามารถเล่นเบอร์ 8 และเบอร์ 6 ได้ ตามที่ เจเค มั่นใจว่าจะใช้ตรงไหน แต่โครงสร้างมิดฟิลด์ คงเป็นแบบมีเบอร์ 8 สองคน และเบอร์ 6 หนึ่งคนในรูปแบบ 4-3-3 ซะมากกว่า
ดังนั้นถ้าจะเบอร์ 8 ด้านซ้าย ต้องแย่งกับ แมกก้า, โจนส์, ติอาโก้ ถ้าเบอร์6 ก็แย่งกับ เอนโด้, บายเชติช หรืออาจยืนกับ แมกก้า คู่กันเป็น "ดับเบิล6" แล้ว โซบอสไล รับบทตัวรุกเหมือนเบอร์สิบ สูตรนี้จะเกิดขึ้นหาก เอนโด้ ไม่พร้อมหรือว่ายังปรับตัวเข้ากับทีมได้ไม่ดี
ตอนนี้เราก็คาดการณ์กันได้อย่างอิสระครับ รอดูการจัดวางแทกติกของ คล็อปป์ ว่าออกแบบมาเป็นอย่างไร เมื่อมีกองกลางมาเพิ่มอีกหนึ่งคน
ณ จุดนี้...การมาของ กราเฟนแบร์ก ยิ่งทำให้การถ่ายเลือดใหม่ของ เจเค สมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซนต์ ในโครงสร้างมิดฟิลด์ของเขา รวมกับหน้าเก่าที่ลงบ้างไม่ลงบ้างในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา....
โฉมหน้ามิดฟิลด์ของ คล็อปป์ ชุดนี้น่าติดตามอย่างยิ่ง ติดนิดเดียวที่สื่อดัตซ์ ดันให้ฉายา “ไรจ์การ์ด2” นี่นะสิ
JACKIE