สารภาพตามตรงว่าตอนแรกก็คิดว่าไม่น่ารอดอยู่แล้วล่ะครับ เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเละซะขนาดนี้ เฉพาะอย่างยิ่งในครึ่งแรกที่โดนกดไปถึง 4 ดอกเน้นๆ
ยังดีที่ครึ่งหลัง เจ้าบ้านเขาถอนตีนจากคันเร่ง แมนฯ ยูไนเต็ด เลยเอาคืนได้ 3 ประตู ช่วยลดความเสียน้องหมาลงได้เยอะเลย 5555
...ว่าแล้วมีเรื่องอยากจะบอก
1. เอาเรื่องการจัดผู้เล่นตัวจริง และแผนการเล่นก่อน
ในเมื่อผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมาคือความปราชัยอย่างยับเยิน มันก็บอกได้ว่า เอริค เทน ฮาก วางแผนและจัดตัวผู้เล่นผิดพลาด รวมถึงประเมินความน่าสะพรึงของ แมนฯ ซิตี้ ต่ำเกินไปหน่อย
แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นรองตั้งแต่ยังไม่แข่ง แถมฟอร์มการเล่นของ แมนฯ ซิตี้ กำลังร้อนแรง เฉพาะอย่างยิ่งดาวถล่มประตูอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ที่สยดสยองซะขนาดนั้น
สิ่งที่ผู้มีจิตศรัทธาในปีศาจแดงแบบผมอยากให้กุนซือปีศาจแดงทำในเกมนี้คือใส่มิดฟิลด์ตัวรับลงไปพร้อมกัน 2 คนไปเลยทั้ง สก๊อตต์ แม็คโทมิเนย์ และ กาเซมิโร่
ทว่า เอริค เทน ฮาก ยังคงมั่นใจในทีมชุดเดิมที่มีชัยในพรีเมียร์ลีกมา 4 นัดติดต่อกันมากเกินไปจึงยึดผู้เล่นชุดเดิม โดยเปลี่ยนแค่ตำแหน่งกองหน้าที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด หายเจ็บกลับมาลงเป็นตัวจริงแทน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คนเดียว
ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าถ้าส่งมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง 'แม็คทอม' กับ 'กาเซ' ลงไปพร้อมกันแล้วจะหยุดความเปล่งปลั่งของทีมเรือใบสีฟ้าได้หรือเปล่า พวกเขาอาจถูกระเบิดโถส้วมเหมือนเดิมก็ได้
แต่อย่างน้อย มันก็แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการรับมือและระมัดระวังคู่แข่งทีมนี้เป็นพิเศษ
ไม่ใช่จัดตัวผู้เล่นชุดเดิมๆ ที่เผยไต๋ให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เห็นมาหลายเกมแล้วแบบนี้
2. แบบแผนการเล่นก็เช่นกันที่มันดูครึ่งบกครึ่งน้ำชอบกล
คือจะบุกก็ไม่กล้าบุกเต็มรูปแบบ อันนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะการเปิดหน้าแลกกับ แมนฯ ซิตี้ ที่ เอติฮัด มันไม่ต่างจากการอมปืนลูกซองแฝดแล้วเหนี่ยวไกระเบิดสมองตัวเอง
ปัญหาคือจะรับก็ดันไม่รับแบบ 'พาร์ค เดอะ บัส' ไปเลย
สิ่งที่เห็นคือผู้เล่นแนวรุก 4 คน ขยับขึ้นไปบีบข้างบน แต่ไม่ได้เพรสซิ่งเข้าใส่จนทำให้เกิดพื้นที่ว่างในแดนกลางมากมาย เพราะมีมิดฟิลด์แค่ 2 คน แทนที่จะถอยมาตั้งด่าน 2 ชั้น ตั้งรับลึกๆ ปิดพื้นที่ให้แน่นหนามากที่สุด
ทั้งๆ ที่รู้ว่า เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ อันตรายขนาดไหน
ทั้งที่รู้ว่า เควิน เดอ บรอยน์ คือถูกปั้นเกมรุกที่เปี่ยมประสิทธิภาพ
ถ้าคุณจะหยุดไอ้เด็กยักษ์ คุณก็ต้องหยุดเพลย์เมคเกอร์ของ แมนฯ ซิตี้ พลางทำลายจังหวะในแดนกลางของพวกเขาให้ได้ก็ไม่ทำแบบจริงจัง
มันจึงออกมาครึ่งๆ กลางๆ ไม่ไปทางใดทางหนึ่งสักทาง
แบบนี้ก็หวานเจี๊ยบบบบบ...สิครับ
3.ความแตกต่างระหว่างทีมสีฟ้ากับทีมสีแดงคือเรื่องของระบบการเล่น และทีมเวิร์ค รวมถึงคุณภาพและความละเอียดในการเล่น
แมนฯ ซิตี้ รับส่งบอลกันแม่นยำบรรลัยทั้งลูกสั้น-ลูกยาวพลางสอดประสานทดแทนตำแหน่งกันได้อย่างเข้าขาชนิดเห็นหน้าก็รู้ชื่อพ่อ
ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เวลาขึ้นเกมรุก ต่อบอลทำชิ่งกันได้ไม่เกิน 4-5 จังหวะก็จะทำเสียกันเองเป็นประจำ
ก่อนเสียประตูแรก ทีมปีศาจแดงกำลังเป็นฝ่ายโต้กลับแท้ๆ ทันใด เจดอน ซานโช่ ดันเสียการครอบครองบอลง่ายๆ จนถูกบุกกลับ แล้วนำมาซึ่งการโดนกะซวกตาข่าย
นอกจากนี้จังหวะที่จู่โจมเร็วได้ในหลายจังหวะ พวกเขากลับดึงให้มันช้าจนเสียโอกาสซะอย่างนั้น
ด้วยคุณภาพของเกมที่แตกต่างกัน เกมมันจบตั้งแต่ตอนที่ตามหลัง 2 ประตูแล้วครับ
ส่วนสกอร์ 4-0 ตั้งแต่ครึ่งแรก มันเป็นการยืนยันหนักแน่นว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีทางได้ผุดได้เกิดในการศึกครั้งนี้แน่นอนแล้ว
4.ไอ้ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด กระทุ้งคืนได้ 3 ประตูในครึ่งหลัง นั่นเพราะทีมเจ้าถิ่นเขาผ่อนเครื่องพลางเล่นแบบถนอมตัวนะครับ - ขอโทษ
ตอนตีไข่แตกไล่มา 4-1 ก็เหมือนไปกระตุกขนตูดของ แมนฯ ซิตี้ ให้เร่งเครื่อง เพื่อกระหน่ำประตูเพิ่มจนหนีห่างเป็น 6-1 จึงส่งตัวสำรองประเภทดาวรุ่งลงมาหาประสบการณ์
จุดนี้ถือว่า 'พี่เป๊ป' เขายังมีความเมตตา & ปรานี อยู่บ้าง
เพราะหากยังเน้นการเล่นแบบ 'เอาตาย' เข้าใจว่าผู้มาเยือนจากตำบล โอลด์ แทรฟฟอร์ด น่าจะเสียหมามากกว่านี้
5.อย่างไรก็ตาม
ความพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ 6-3 ในฤดูกาลนี้ หากนำไปเทียบกับความพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ 4-1 เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ถือว่าความยับเยินครั้งนี้ยังพอมีทรง และแสดงให้เห็นจิตวิญญาณของนักสู้มากกว่าความยับเยินเมื่อคราวก่อนที่ อิสต์แลนด์ส นะครับ
พูดง่ายๆ ว่าพยายามสู้แล้ว เพียงแต่มันสู้ไม่ได้จริงๆ
เพราะปกติ แมนฯ ซิตี้ ชุดนี้ที่เล่นด้วยกันมานานพอสมควรก็เป็นโคตรทีมอยู่แล้ว ต่อเมื่อได้เครื่องจักรถล่มตาข่ายให้สิ้นซากอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ มาเป็นหัวหอก พวกเขาก็แปลงร่างเป็นโคตรทีมไร้เทียมทาน
จังหวะที่ เควิน เดอ บรอยน์ เปิดบอลโค้งเข้าไปในดงผู้เล่นของปีศาจแดง แล้วไอ้เด็กยักษ์สายพันธุ์ไวกิ้งมันพุ่งตัวเข้าไปใช้ตีนถีบลูกตุงตาข่าย มันยืนยันความเป็นโคตรทีมไร้เทียมทานของ แมนฯ ซิตี้ อย่างชัดเจน
บอ.บู๋