อย่างแรกคุณต้องชมลิเวอร์พูล ต่อให้ตามหลังรวดเร็วตั้งแต่ 25 นาทีแรก แถมมาจากความผิดพลาดของนักเตะตัวเองด้วยก็ยังไม่ยอมแพ้ ต่อให้เหลือเพียง 10 คนในอีกสามนาทีถัดไป ก็ยังไม่แสดงอาการของคนที่โยนผ้าขาว
"จอร์ดี้ส์ จอร์ดี้ส์ จอร์ดี้ส์" กระหึ่มสังเวียนที่ปกคลุมด้วยสีขาว-ดำ
อย่างต่อมา ก็ต้องให้เครดิต เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่พยายามกระตุ้นลูกทีมตลอด เขาคงลุกยืนตะโกนสั่งการ บางจังหวะก็โวยใส่เพราะสะท้านเต็มอกว่า ตราบใดคงตามหลังลูกเดียวก็ยังมีโอกาส
อย่างสุดท้าย ก็ต้องยกนิ้วโป้งให้ซูเปอร์ซัพที่ชื่อ ดาร์วิน นูนเยซ ซึ่งบางคนอาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ายังอยู่ ลิเวอร์พูล สองประตูเมื่อวันอาทิตย์นอกจากทำให้ทีมได้สามแต้ม ในเกมที่คงมีกองเชียร์ นิวคาสเซิ่ล นั่งเกาะหัวกันอยู่แล้วว่า 'เป็นไปได้อย่างไร?' แต่ก็อาจเท่ากับชุบชีวิตเขาได้อีกด้วย
ฟุตบอลก็แบบนี้ มีเกมที่เหนือความคาดหมาย และมีเกมที่มักมีฮีโร่เกิดขึ้นเสมอ
ตอนนกหวีดยาวดัง ก็มีแต่เสียงไชโยจากที่นั่งด้านบนสุดฝั่งหลังประตู กลุ่ม เดอะ ค็อป ราวสามพันตะโกนสุดเสียงอันเป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่า นิวคาสเซิ่ล ในยุคที่มีเจ้าของซาอุฯ ยังพัฒนาไปไม่ถึงเป็นทีมอยู่ในระดับเดียวกับที่ ลิเวอร์พูล เคยไต่ไปถึงมา
ไม่มีคนโห่ ไม่มีการเป่าปาก แต่ปฎิกิริยาของเหล่า ทูน อาร์มี่ส์ ไม่ต่างจากนักมวยที่กำลังทำคะแนนนำหน้า แต่กลับมาเจอหมัดน็อกให้กรรมการนับสิบ
คนที่ต้องรับผิดชอบก็ต้อง เอ็ดดี้ ฮาว คนเดียว
ก่อนหน้าที่ทั้งคู่มาเจอกันก็มีการเปรียบเทียบว่าเส้นกราฟของสาลิกา มีแนวโน้มที่จะบินสูงได้เหมือน หงส์แดง ยกตัวอย่างก็ฟอร์มในรังโดยซีซั่นก่อน นิวคาสเซิ่ล มีผลงานชนะ 11 เสมอ 6 แพ้ 2 ผลต่าง+22 ส่วนซีซั่นแรกเต็มตัวของคล็อปป์ก็มีตัวเลขใกล้เคียงกันชนะ 12 เสมอ 5 แพ้ 2 ผลต่าง+27
ใช่ บรรยากาศกับแพสชั่นใน เซนต์ เจมส์ พาร์ค อยู่ในระดับเดียวกับ แอนฟิลด์ ได้ไม่ยาก
นอกจากนั้น สไตล์การทำทีมก็มีบางอย่างคล้ายกันอีก โดยเฉพาะในเกมเพรสซิ่ง ตอนเปลี่ยนถ่ายจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เข้าสู่มือ คล็อปป์ ก็ชัดเจนจากสถิติที่ปล่อยให้คู่แข่งได้ผ่านบอลลดลงจาก 11.5 เหลือ 9.3ครั้ง อย่างเดียวกับ ฮาว ที่พอมาทำ นิวคาสเซิ่ล ก็เน้นไปที่เกมเพรสซิ่งจาก 15.3 เหลือ 10.4 ครั้งในฤดูกาลที่ผ่านมา
บางคนยังบอกด้วยว่า ควรยกเลิกคำว่า 'บิ๊กซิกซ์' ได้แล้ว ต้องใช้ว่า 'บิ๊กเซเว่น' เพราะควรรวมเอาสาลิกาไปอยู่ด้วย
ทิศทางของสโมสรที่แฟนบอลบูชา เปรียบเปรยว่าเวลาเข้าสนามเหมือนเข้าโบสถ์ ก็ถือว่าดีวันดีคืน การได้ไปเตะ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถือเป็นการประกาศให้รับรู้ว่า พวกเขาเอาจริง ยิ่งแบ็กอัพเป็นกลุ่มซาอุฯ ด้วยแล้ว
อย่างไรก็ตาม สองเกมที่ผ่านมา ก็มีชิ้นหลักฐานว่า นิวคาสเซิ่ล นั้น ยังไปทะยานไปไม่ถึงในจุดที่ไกลกว่าเดิม การแพ้ให้ แมนฯ ซิตี้ ตามด้วย ลิเวอร์พูล บ่งบอกว่างานของ ฮาว ยังอีกเยอะ รวมแม้แต่ความสงสัยที่ว่า 'เอ็ดดี้ ฮาว จะใช่คนๆ นั้นหรือเปล่า?"
ไม่มีข้อแก้ต้วใดๆ จากเกมล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์
ด้วยสถานการณ์ที่ได้เปรียบตั้งแต่กลางครึ่งแรก สกอร์ที่ขึ้นนำ, เวอร์กิล ฟาน ไดค์ กัปตันหงส์โดนไล่ออกไป จนถึงรูปเกมที่ควรปิดบัญชียิงลูกสองหรือสามให้ได้
ถึงมันอาจมีบางรายละเอียดที่ ฮาว ได้ยกมาแก้ตัวไว้หลังเกมทั้ง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ควรเจอเหลืองที่สองโดนใบแดงไปด้วย กับซูเปอร์เซฟของ อลิสซง ที่ปัดลูกวอลเล่ย์ มิเกล อัลมิรอน แต่จะเชิงลึกหรือกว้างก็ยังน่าผิดหวังอยู่ดี
"นี่เป็นเรื่องที่เจ็บปวดไม่ต่างจากที่แอนฟิลด์ปีที่แล้ว" กุนซือวัย 45 ได้พูดต่อมาในเพรส คอนเฟอเรนซ์ภายหลังแพ้เป็นเกมที่ 11 ติดต่อให้ คล็อปป์
ยิงนำเร็ว เสียตอนทดเจ็บกับฉากจบที่แผดลั่นด้วยการเฉลิมฉลองจาก เดอะ ค็อป
แม้กระทั่งกะซวกตาข่ายเพิ่มไม่ได้ ก็ต้องทำให้ได้อย่างน้อยรักษาสกอร์ที่นำ 1-0 จนจบเกม เกมแพลนของ ฮาว มีอะไรผิดพลาดใช่ไหมกับการเปลี่ยนรวดเดียวสามคนในนาที 72 โดยเฉพาะการถอดเอา ซานโดร โตนาลี่ มิดฟิลด์ที่เพิ่งย้ายมาซัมเมอร์นี้ซึ่งเล่นได้ดีมากออก
ปกติการขยับเปลี่ยนรวดเดียวสามคนจะเกิดกับทีมที่เล่นไม่เป็นโล้เป็นพายกับทีมที่ยิงห่างนำไปสามสี่ลูกแล้วทำนองนั้น....
"หน้าที่ของผมในตอนนี้ ก็คือทำทุกอย่างเพื่อให้ทีมคงเชื่อมั่นในตัวเองต่อไป พวกเราต้องเอาความผิดหวังนี้ไปเป็นบทเรียน" อีกประโยคหลังเกมจาก ฮาว
รอบสองปีมานี้ นิวคาสเซิ่ล ยกระดับขึ้นมาได้น่าสนใจจริง
แต่จากหลักฐานเมื่อวันอาทิตย์ยืนยันว่า ฮาว ยังไปไม่ถึงขั้น คล็อปป์ อย่าว่าแต่ว่าเขาจะเป็นโค้ชที่ทำให้ทีมได้ลุ้นแชมป์นับจาก เควิน คีแกน เลย
"ไก่ป่า"