ลิเวอร์พูล ถูก นิวคาสเซิ่ล กะซวกไส้ในนาทีที่ 25 ก่อนจะเหลือตัวผู้เล่นแค่ 10 คนในนาทีที่ 28 แถมคนโดนไล่ออกคือปราการหลังตัวสำคัญอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์
สถานการณ์ย่ำแย่สุดๆ ความพ่ายแพ้แสยะยิ้มพลางยักคิ้วให้อยู่ตรงหน้า แต่สุดท้าย "หงส์แดง" คือผู้ชนะซะอย่างนั้น
ถามว่าพวกพรี่ๆ เขาโกงความตายกลับมาได้อย่างไร ???
ต่อไปนี้คือคำตอบ
1.นี่แหละ...ฟุตบอล
ตราบใดที่ยังตามหลังแค่ประตูเดียว ต่อให้รูปเกมเป็นรอง หรือมีตัวผู้เล่นน้อยกว่า แต่นั่นหมายความว่าคุณยังอยู่ในเกม
หลังโดนนำ 1-0 โดยมีผู้เล่นในสนามเพียง 10 คน ลิเวอร์พูล เลือกที่จะเล่นเกมรับอย่างอดทนไปก่อน มิได้พยายามเร่งเกมรุกบุกกระหน่ำแบบไม่มีอะไรจะเสีย
เหตุเพราะต้องการรักษาสกอร์นี้ไปเรื่อยๆ พลางค่อยๆ หาจังหวะจู่โจมอย่างใจเย็น
แบบว่า...กูขอทีเดียว
กูขอหมัดน็อคแบบโป้งเดียวจอด
2.ขณะเดียวกัน นิวคาสเซิ่ล ที่ได้เปรียบทั้งสกอร์และตัวผู้เล่นก็เล่นแบบระมัดระวัง ไม่กล้าโหมบุกหนักแบบ "เอาตาย" เพื่อขยี้ผู้มาเยือนให้สิ้นซาก
ถามว่าทำไม ???
คำตอบคือพวกเขายังคงเกรงกลัวความเป็น ลิเวอร์พูล อยู่ในที
คือถ้าคู่แข่งเป็นทีมระดับกลางๆ หรือทีมเล็กกว่า พลพรรคสาลิกาดงคงบุกใส่แบบเอาให้กลับชาติมาเกิดใหม่ไม่ได้ไปแล้ว
แต่นี่คือ "หงส์แดงผู้อหังการ" ทีมที่ชนะพวกเขาติดต่อกันมา 4 นัด และไม่แพ้ นิวคาสเซิ่ล มาถึง 13 เกมติดต่อกัน
และที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่าคู่แข่งของพวกเขาคือทีมที่มีประวัติความตายยากมากที่สุดทีมหนึ่งในโลกนี้
หลายจังหวะที่ลูกทีมของ เอ๊ดดี้ ฮาว สามารถเปิดบอลเข้าไปโจมตีผู้มาเยือนได้ แต่กลับไม่ยอมเสี่ยงพลางดึงจังหวะ เพื่อครองบอลเอาไว้กับตัว
พูดง่ายๆ ว่าเล่นแบบเน้นผลบนความรัดกุมเอาไว้ก่อน เพราะเกรงศักดิ์ศรีของ ลิเวอร์พูล นี่แหละ
3.หลังจากเหลือผู้เล่น 10 คน เจอร์เก้น คล็อปป์ ปรับหมากเตะเป็น 4-1-3-1 ถอย โคดี้ คักโป ลงมาช่วยตรงกลางอีกคน โดยทิ้ง โม ซาล่าห์ ที่มีทั้งความเร็วและความสามารถเฉพาะตัวสูงเป็น "หน้าเป้า" แค่คนเดียว
เวลาบุกก็จะค่อยๆ เซ็ตบอลกันพลางหาจังหวะฉาบฉวยเข้าจู่โจมด้วยผู้เล่นในแนวรุกแค่ 2-3 คน เท่านั้น
ยิงประตูไม่ได้ ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าเพิ่งเสียเพิ่ม ก่อนจะค่อยๆ ยกระดับของเกมรุกให้สูงขึ้น เมื่อเวลาลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
หากเวลาผ่านไปจนใกล้หมด โดยยังตีเสมอไม่สำเร็จก็ค่อยดาหน้าเล่นเกมรุกแบบไม่มีอะไรเสีย...ก็ได้
กุญแจสำคัญคือต้องรอจังหวะและโอกาสอย่างอดทน
นี่คือแผนการเล่นหลักๆ ของ ลิเวอร์พูล ในสถานการณ์นั้น
4.ว่าแล้วมาดูการเปลี่ยนตัวผู้เล่นของ เจอร์เก้น คล็อปป์ นะครับ
สังเกตว่าเขาจะทยอยส่งตัวสำรองที่ยิงประตูได้ดีกว่าผู้เล่นตัวจริงลงมา
ฮาวี่ย์ เอลเลียตต์ ลงมาแทนมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง วาตารุ เอ็นโด
และกองหน้าประเภทโป้งเดียวเด๊ดห่าอย่าง ดิโอโก้ โชต้า ถูกส่งลงมาแทน โคดี้ คักโป
เมื่อยังตีเสมอไม่ได้ กองหน้าอาชีพอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ จึงถูกส่งลงมาแทน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์
มิเท่านั้นยังเก็บผู้เล่นที่มีประสิทธิภาพในการทำลายตาข่ายสูงอย่าง โม ซาล่าห์ เอาไว้ตลอด
หลักการคือเมื่อคุณส่งผู้เล่นที่ยิงประตูเก่งลงในสนามมาเยอะๆ คุณก็มีโอกาสได้ประตูจะลูกจับพลัดจับผลู หรือลูกหงส์จับยัด (คล้ายๆ ผีจับยัด) แม้นรูปเกมของคุณจะเป็นรองก็ตาม
สุดท้าย ดาร์วิน นูนเญซ ที่มีโอกาสสับไกแบบเหน่งๆ แค่ 2 ครั้ง ก็สามารถทำประตูได้ทั้ง 2 ครั้ง !!
5.นอกจากจะปรับแผนการเล่น และแก้เกม รวมถึงเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม
สาลิกาดงนี่ "แพ้ทาง" พวกพรี่ๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนะครับ เหมือนดวงถูกข่มมาตลอด
ว่าแล้วก็ดูเอาเถิดครับ
ประตูตีเสมอของหงส์แดง บอลพุ่งไปชนตูดของกองหลังเจ้าบ้านอย่าง สเวน บ๊อตมัน แล้วติดขา ก่อนกระดอนไปเข้าทางปืนของกองหน้าชาวอุรุกวัย
ส่วนประตูชัยของ เรด แมชชีน
จังหวะนั้น นิวคาสเซิ่ล ครองบอลอยู่ดีๆ บรูโน่ กีมาไรซ์ ดันจ่ายบอลไปติดซะอย่างนั้น ก่อน โม ซาล่าห์ จะแทงให้ "น้องนุ่น" หลุดไปซัดเปรี้ยงเดียวตุงตาข่าย
เหนือกว่าดวง คือเมื่อมีโอกาสแล้วไม่พลาด
นี่คือความเด็ดขาดในสภาวะฉุกเฉิน
โบนัส แทร็ค: ตั้งแต่ดูบอลมา ผมเห็นการโกงความตายมาหลายครั้งหลายหน และนี่จัดเป็นหนึ่งในการกลับมาจากนรกที่จัดอยู่ในประเภท "เกรท คัมแบ็ค" ครับ ยอมรับ
บอ.บู๋