กูดิสัน พาร์ค..
นับจากวันที่คณะผู้บริหารเก่ายกพวกกันออกจากแอนฟิลด์แล้วข้ามสวนสแตนลี่ย์พาร์คมาตั้งตัวใหม่ที่นั่น มันก็กินเวลา 131 ปีเข้าไปแล้ว
สิบสามทศวรรษแห่งความทรงจำ ฤดูกาลนี้จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่ กูดิสัน พาร์ค ได้รับใช้เอฟเวอร์ตันฟุตบอลคลับในฐานะสนามเหย้าของสโมสร
สนามใหม่มูลค่า 530 ล้านปอนด์มีกำหนดเปิดใช้งานในฤดูกาล 2024/25 เอฟเวอร์ตันจะลงสนามในทุกๆ เกมเหย้าของตัวเองที่นั่น ส่วน กูดิสัน พาร์ค จะถูกทุบทิ้งเพื่อสร้างศูนย์กลางชุมชนที่ทันสมัยแห่งย่านวอลตัน มีทั้งที่อยู่อาศัย ออฟฟิศสำนักงาน หน่วยงานด้านสาธารณสุข ร้านค้า และพื้นที่สีเขียวในชื่อโครงการ Goodison Park Legacy Project
กูดิสัน พาร์ค ในสถานะที่เป็นสนามฟุตบอลอาจจะไม่อยู่แล้ว แต่มรดกตกทอดในเชิงการดำรงอยู่เพื่อชุมชนอย่างที่เอฟเวอร์ตันยึดถือมาตลอดในคติ The People's Club ยังคงอยู่ตรงนั้น Goodison Park Legacy Project จะยกระดับคุณภาพชีวิตและภาพลักษณ์ของย่านวอลตันให้ดีขึ้นจากการจ้างงาน การขยายตัวของเทคโนโลยี และความทันสมัย
เอฟเวอร์ตันในความเป็นจิตวิญญาณแห่งส่วนร่วมของชุมชนจะยังไม่จางหายไปจากย่านที่กูดิสัน พาร์คตั้งอยู่ และยังจะขยายออกไปยังบ้านใหม่ด้วย ฟุตบอลของทีมทอฟฟี่สีน้ำเงินจะเดินทางสามกิโลเมตรครึ่งมุ่งหน้าทิศตะวันตกไปตั้งหลักกันใหม่ที่ เอฟเวอร์ตัน สเตเดี้ยม ความจุ 52,888 ชีวิต ในแถบ แบรมลี่ย์-มัวร์ ด๊อค ริมแม่น้ำเมอร์ซี่ย์
พวกเขาจะสานต่อเรื่องราวลูกหนังของตัวเองต่อไปที่นั่น นับตั้งแต่ฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป
เพียงแต่ว่า..
เพียงแต่ว่าเวลานี้ เอฟเวอร์ตัน และ กูดิสัน พาร์ค กำลังถูกปกคลุมด้วยความวิตกกังวล.. กังวลเป็นอย่างมากว่าในวันที่สีสันสีน้ำเงินเริ่มอาบคลุมแบรมลี่ย์-มัวร์ ด๊อค นั้น สโมสรจะอยู่ในสถานะใด
ทีมพรีเมียร์ลีก หรือ ทีมแชมเปี้ยนชิพ..
นี่คือความกังวลยิ่งยวด เพราะไม่เพียงเรื่องของศักดิ์ศรีแห่งการเป็นสโมสรที่อยู่ในลีกสูงสุดมายาวนานเท่านั้น หากยังเป็นเรื่องความอยู่รอดขององค์กรอีกด้วย
เอฟเวอร์ตันลงทุนไปเยอะกับสนามใหม่ มันย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าพวกเขาต้องไปเล่นที่นั่นด้วยการตกชั้นหล่นจากพรีเมียร์ลีกไปอยู่ในศึกแชมเปี้ยนชิพอันจะทำให้รายได้หายไปมหาศาลที่นอกจากส่วนแบ่งเป็นกอบเป็นกำจากพรีเมียร์ลีกแล้วมีรายได้จากช่องทางต่างๆ ทั้งการเจรจาต่อรองกับผู้สนับสนุน สินค้าที่ระลึก การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของสโมสร ตลาดแฟนบอลต่างประเทศที่ยังคงต้องการขยับขยาย ฯลฯ
เอฟเวอร์ตันจำเป็นต้องประหยัดค่าใช้จ่ายทุกด้าน การลงทุนเรื่องนักเตะแทบเป็นศูนย์ในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา การวางโปรแกรมเตะอุ่นเครื่องก็เช่นกัน บินไปเตะอุ่นเครื่องที่นียงในสวิตเซอร์แลนด์แค่เกมเดียว ที่เหลือเตะในเมืองที่ไม่ไกลจากลิเวอร์พูลทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นวีแกน (33 กิโลเมตร) โบลตัน (46 กิโลเมตร) หรือ สโต๊ค (88 กิโลเมตร) และสองเกมสุดท้ายกับมอนซ่าและสปอร์ติ้ง ลิสบอน เล่นกันที่กูดิสัน พาร์ค
กำไร 32 ล้านปอนด์จากตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์เป็นเพียงทางหนึ่งที่เข้ามาจุนเจือสโมสรเท่านั้นแต่ต้องแลกมาด้วยความแข็งแกร่งของทีมฟุตบอลที่น้อยลงไป
ทอม เดวิส, เยร์รี่ มิน่า, แอนดรอส ทาวน์เซนด์, มอสเซ่ เคน, เอลลิส ซิมม์ส บ้างถูกขาย บ้างถูกปล่อยตัว ลงทุนขาเข้าแค่ แอชลี่ย์ ยัง ที่ได้ตัวมาฟรีๆ และ ยุสเซฟ เชอร์มิตี้ กองหน้าวัย 19 ปีจากสปอร์ติ้ง ลิสบอน ค่าตัว 12.9 ล้านปอนด์ที่เพิ่งจะได้เล่นไปแค่ 24 นาทีเท่านั้น
ข่าวล่าสุดกับ เบโต้ กองหน้าชาวโปรตุเกสของอูดิเนเซ่ในราคา 30 ล้านปอนด์อาจเป็นภาวะเร่งด่วนเพื่อแก้ไขสถานการณ์เกมรุกฝืดสนิทในตอนนี้ เพราะผ่านไปแล้ว 3 เกม ไม่เพียงแต่แพ้รวดทั้งหมดเท่านั้น แต่เอฟเวอร์ตันยังทำประตูไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียว
แพ้ ฟูแล่ม คากูดิสัน พาร์ค 0-1 ถูก แอสตัน วิลล่า ขยี้ 0-4 ที่วิลล่า พาร์ค และล่าสุดกลับมาเล่นในบ้านตัวเองก็ยังถูก วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส งับเจ็บท้ายเกม 0-1
ความตึงเครียดทวีคูณขึ้นเป็นเท่าตัว เกมในบ้านที่ควรจะเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับเป้าหมายฤดูกาลนี้ที่ขอแค่ประคองตัวรักษาสถานะทีมพรีเมียร์ลีกให้ได้ก่อนแล้วค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นไปเมื่อเริ่มใช้สนามใหม่ที่จะทำให้สโมสรเริ่มมีรายได้เข้ามามากขึ้นกลับกลายเป็นสูญเปล่า 2 เกมกับ 2 ทีมที่ควรจะเก็บ 6 แต้มกลายเป็นไม่มีอะไรติดมือเลยแม้กระทั่งประตู
แม้จะต้องดิ้นรนอย่างหนักเมื่อฤดูกาลที่แล้วและเคยหนีตกชั้นมาก่อนหน้า แต่เอฟเวอร์ตันไม่ใช่ทีมที่ต้องกระเสือกกระสนทุกปี มันเพียงเกิดขึ้นนานๆ ครั้ง มีช่วงกลางทศวรรษ 1990 สัก 1-2 ครั้ง ช่วงทศวรรษ 2000 สักครั้งหนึ่ง และก็มาช่วง 2-3 ปีหลังมานี้
แต่นั่นล่ะครับเรื่องที่น่ากังวล เพราะระยะหลังดูเหมือนมันจะเกิดขึ้นถี่กว่าเดิม โดยเฉพาะในสองปีล่าสุดและทำท่าว่าจะรวมฤดูกาลนี้เข้าไปด้วยเป็นปีที่สามต่อเนื่อง
ฤดูกาล 2021/22 เอฟเวอร์ตันเก็บได้ 39 แต้ม จบอันดับ 16 อยู่เหนือโซนตกชั้น 2 อันดับ
ฤดูกาลที่แล้ว 2022/23 เอฟเวอร์ตันเก็บได้ 36 คะแนน จบอันดับ 17 อยู่เหนือโซนตกชั้นเพียงอันดับเดียว
ฤดูกาลนี้ 2023/24 สถานะปัจจุบันคือทีมอันดับสุดท้ายของตาราง ผ่านไป 3 เกมยังไม่มีคะแนน เสีย 6 ประตูโดยยิงคืนไม่ได้เลย
เริ่มต้นอย่างนี้ คงไม่มีเอฟเวอร์โตเนียนคนไหนสบายใจ มันทำท่าจะโหดร้ายกว่าที่ซีซั่นที่ผ่านๆ มาเสียอีก
เอฟเวอร์ตันกำลังเดินหน้าสู่การตกชั้น.. จริงๆ หรือ
นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1878 และเข้าร่วมฟุตบอลลีกในฐานะสมาชิกแรกเริ่มตั้งแต่ปี 1888 เอฟเวอร์ตันเคยตกชั้นแค่ 2 ครั้งเท่านั้นคือฤดูกาล 1929/30 และฤดูกาล 1950/51
ตกชั้นครั้งแรกดีดตัวกลับขึ้นมาเล่นในดิวิชั่นหนึ่งได้ภายในปีเดียวด้วยสถานะแชมป์ดิวิชั่นสอง แล้วก็ยังคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ทันทีในฤดูกาลแรกที่เลื่อนชั้นอีกต่างหาก ส่วนการตกชั้นครั้งที่สองทีมทอฟฟี่จมอยู่ในดิวิชั่นสองแค่ 3 ฤดูกาลเท่านั้นก็ทวงสิทธิ์ทีมในลีกสูงสุดกลับมาได้และจากนั้นก็ไม่เคยตกชั้นอีกเลย
ฤดูกาล 1953/54 คือฤดูกาลสุดท้ายที่เอฟเวอร์ตันไม่ได้มีสถานะเป็นทีมระดับลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ มันกินเวลา 70 ปีเข้าไปแล้ว
ปีนี้ครบรอบ 7 ทศวรรษพอดีสำหรับการเป็นทีมที่ไม่ตกชั้นยาวนาน เอฟเวอร์ตันเล่นในลีกสูงสุดติดต่อกันนานกว่าลิเวอร์พูล (61 ฤดูกาล) นานกว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (48 ฤดูกาล) นานกว่าท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ (45 ฤดูกาล) นานกว่าเชลซี (34 ฤดูกาล) มีเพียงอาร์เซน่อลทีมเดียวเท่านั้นที่อยู่ในลีกสูงสุดต่อเนื่องยาวนานกว่าเอฟเวอร์ตัน ทีมปืนใหญ่กำลังเล่นในฤดูกาลที่ 98 ติดต่อกันบนลีกสูงสุดของอังกฤษ
ใน 3-4 ครั้งที่ทีมสีน้ำเงินแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ต้องดิ้นสุดเฮือกเพื่อความอยู่รอด พวกเขาเอาตัวรอดได้เสมอ แม้บางฤดูกาลต้องลุ้นหัวใจแทบวายจนถึงวินาทีสุดท้าย
ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ถ้าทีมรักของเราหนีตกชั้นมา 2 ปีติดต่อกันแล้วฤดูกาลใหม่ยังเริ่มต้นด้วยการเล่น 3 นัดแพ้รวด แถมสโมสรยังมีภาระผูกพันระยะยาวจากการสร้างสนามใหม่ที่ทำให้การลงทุนด้านฟุตบอลมีจำกัด ความกังวลคงท่วมท้นดวงใจทีเดียว
เอฟเวอร์ตันก็เหมือนกับทีมอื่นๆ นั่นล่ะครับ มีคนที่ชอบ มีคนที่ไม่ชอบ มีคนที่เชียร์ให้ไปดี และมีคนที่แช่งให้เจอเรื่องร้าย..
สำหรับผมยังขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมเมือง ยังอยากเห็นเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ในทุกๆ ฤดูกาล แม้แต่ละครั้งที่ได้เจอกันจะเหนื่อยแทบขาดใจและร้าวระบมไปทั้งตัวก็ตาม
ฤดูกาลยังอีกยาวไกล แต่งานหนักครอบคลุมเอฟเวอร์ตันแล้ว ทุกวันนับจากนี้คือความจริงจัง มันคือเกมแห่งชีวิตจริงๆ
-ตังกุย-