ผมไม่ได้รู้สึกว่าลิเวอร์พูลเป็นตัวตลก อืมม์.. ถ้าจะมีตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างก็คงเป็นตอนที่มีข่าวว่าจะเพิ่มข้อเสนอเป็น 60 ล้านปอนด์เพื่อซื้อ โรเมโอ ลาเวีย อีกรอบ
ข่าวจริงไหมไม่รู้ แต่ในใจไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ อาจจะมีแค่เรื่องนี้กระมังครับที่ชวนให้หัวเราะขื่นๆ แต่ในเรื่องอื่น.. ไม่เลยสักนิด
นักวิจารณ์บางคนอาจเห็นว่าตลก แฟนบอลบางคนก็อาจจะอยากหัวร่องอหาย ความคิดใครก็ความคิดมัน แต่ผมเชื่อว่าคนที่ไม่ได้เห็นว่าเรื่องนี้มันตลกหรือทำให้ทีมกลายเป็นตัวตลกตรงไหนก็ยังมีอีกมากมาย
แค่อย่าแสดงความคิดเห็นด้วยการดูถูกกันก็พอ ขอให้คุยกันด้วยเหตุผล ด้วยวุฒิภาวะ ด้วยช่องว่างที่เว้นไว้สักนิดสำหรับความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ผลักไสกันให้ไปอยู่อีกฝั่งอีกฝ่ายเพียงเพราะมองเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน
ร้อยกว่านาทีในเกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ยังติดตา ลิเวอร์พูลโชคดีที่ยังรอดตัวกลับเมอร์ซี่ย์ไซด์ได้โดยมีคะแนนติดมือ
ถ้าเป็นมวยก็คงถูกตัดสินให้แพ้คะแนนไปแล้ว แบบเป็นเอกฉันท์เสียด้วย
เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังต้องทำงานหนักต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฤดูกาลเปิดฉากขึ้นแล้ว ไม่มีเวลาให้ลองผิดลองถูกมากมายอีกแล้ว
ผมยังเชื่อว่าการทดลองใช้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ บ้าง เคอร์ติส โจนส์ บ้าง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ บ้างในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรับช่วงปรีซีซั่นคือความพยายามแก้ปัญหาของคล็อปป์กับการผิดแผนที่เสีย ฟาบินโญ่ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ไป
เสียฟาบินโญ่คืออุกาบาตที่พุ่งกระทบลิเวอร์พูล เสียเฮนโด้ยิ่งทำให้แย่ลงไปอีก มันเกิดขึ้นกระทันหันโดยไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน แน่ล่ะครับจะซื้อนักเตะใหม่ทันทีคงเป็นไปไม่ได้ ลิเวอร์พูลต้องทำการบ้านวิเคราะห์มองหาคนที่ถูกต้องที่สุด อาจจะมีลิสต์เดิมอยู่แล้วก็ได้ แต่ก็ต้องอัพเดตให้มั่นใจ
เพียงแต่มันก็เป็นสารเร่งปฏิกิริยาเหมือนกัน เพราะตำแหน่งนี้น่าจะเป็นตำแหน่งที่ลิเวอร์พูลเตรียมวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อซื้อตัวใหม่เข้าทีมในซีซั่นหน้าที่ฟาบินโญ่จะโรยราลงไปอีกปี
ในระหว่างนั้น เวลาก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ คล็อปป์จึงต้องทดลองหยิบจับคนที่มีอยู่อย่าง เทรนต์ โจนส์ รวมถึง แม็ค อัลลิสเตอร์ ไปเล่นในบทบาทกองกลางตัวรับแทนแล้วประเมินสถานการณ์ควบคู่กันไป
เทรนต์ ในเกมกับ คาร์ลสรูห์ และ กรอยเธอร์ เฟือร์ธ
โจนส์ ในเกมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ และ บาเยิร์น มิวนิค
แม็ค อัลลิสเตอร์ ในเกมกับ ดาร์มสตัดท์ และต่อเนื่องมาถึง เชลซี ในนัดเปิดฤดูกาล
ถ้าใครสักคนเล่นได้และเล่นดีจนเป็นการค้นพบครั้งใหม่ แนวทางการซื้อกองกลางตัวรับอาจเปลี่ยนไปจากที่เห็น ลิเวอร์พูลจะมีเวลามากขึ้นในการเลือกเฟ้นมิดฟิลด์ตัวรับที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับทีม จะดึงมาเป็นตัวหลักเลยหรือมาเพื่อเพิ่มขุมกำลังและการแข่งขันในทีมก็ตามแต่แผนงาน แต่จะเป็นการซื้อที่มีโอกาสคุ้มค่าการลงทุนเหมือนคราวที่ได้ตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซาดิโอ มาเน่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน หรือ ดีโอโก้ โชต้า
ไม่เพียงเท่านั้นมันยังอาจทำให้สโมสรมีอำนาจต่อรองบนโต๊ะเจราจามากขึ้นด้วยเพราะนักเตะใหม่ที่ ยอร์ก ชมัดท์เค่อ ผู้อำนวยการกีฬากำลังคุยเพื่อขอซื้อตัวอยู่นั้นไม่ใช่ความจำเป็นยิ่งยวด จึงย่อมมีโอกาสที่จะต่อรองค่าตัวได้ในราคาที่ไม่ฟุ้งและเฟ้อจนเกินไป
มันอาจเป็นเหตุผลว่าเพราะอะไรลิเวอร์พูลถึงไม่รีบซื้อมิดฟิลด์ตัวรับธรรมชาติในทันทีที่เสียฟาบินโญ่ ก็เพราะแนวทางการซื้อขายผู้เล่นของทีมเป็นอย่างนี้มาตลอดคือจะไม่ซื้อใครที่ยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซนต์ว่าเสี่ยงน้อยที่สุด การซื้อแบบรีบร้อนหรือยังไม่แน่ใจจะส่งผลเสียในระยะยาวมากกว่าถ้าหากนักเตะคนนั้นไม่ตอบโจทย์ ภาระผูกพันที่เกิดขึ้นจะเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาอื่นเป็นลูกโซ่
ถ้าเป้าหมายที่มีอยู่ยังไม่ว่างก็ยังรอได้ เว้นแต่ว่าเป็นตำแหน่งที่จำเป็นจริงๆ เพราะเป็นจุดอ่อนของทีม หากเป็นกรณีนี้จะจ่ายแพงเท่าไหร่ก็ยอมและต้องเอามาให้ได้ทันทีอย่างตอนที่ซื้อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กับ อลิสซง เบ็คเกอร์ เข้ามาอุดจุดอ่อนในเกมรับด้วยค่าตัวมหาศาล
ช่วงเวลาที่ทีมวิเคราะห์ทำการบ้านหานักเตะในข่ายมาเข้าลำดับลิสต์ คล็อปป์ก็คุมการซ้อมและดูผลงานที่เกิดขึ้นในเกมอุ่นเครื่องไปด้วย ประเมินสถานการณ์ตลอดเวลาไม่ใช่ว่าปล่อยปละละเลยจนไฟลนก้น
ผมคิดว่าจนกระทั่งทดลองใช้ โจนส์ ในเกมอุ่นเครื่องนัดรองสุดท้ายกับ บาเยิร์น มิวนิค และ แม็ค อัลลิสเตอร์ ในเกมอุ่นเครื่องนัดสุดท้ายกับดาร์มสตัดท์ ผ่านไปแล้วนั่นล่ะครับที่คล็อปป์ตัดสินใจเดินหน้าเต็มตัวกับกองกลางตัวรับคนใหม่ "ในทันที" เพราะมันไม่ใช่ตำแหน่งที่เพียงแค่ขาดอีกแล้ว แต่กำลังกลายเป็นจุดอ่อนของทีมแล้ว
ถามว่าคล็อปป์ตัดสินใจช้าไปไหม ผมคิดว่าช้าด้วยเหตุผลที่เข้าใจได้ มันมาจากเงื่อนไขเรื่องเวลาและแนวทางการซื้อนักเตะของทีม แน่นอนมันไม่ได้รวดเร็วทันใจหรอก แต่ก็ไม่ได้ช้าถึงขนาดทำอะไรไม่ทัน ที่สำคัญเวลาที่เสียไปไม่ได้สูญเปล่า มันแลกมาด้วยความเสี่ยงที่น้อยลงจากการสกรีนนักเตะเป้าหมายที่ละเอียดขึ้น
คุณอาจจะได้คำตอบช้าหน่อยแต่เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด ณ สถานการณ์ที่กำลังเผชิญ ดีกว่ารีบร้อนได้คำตอบปุบปับรวดเร็วแต่ความเสี่ยงมากมายพร้อมภาระผูกพันที่จะลากยาวไปสู่อนาคต
หรือบางทีมันอาจจะล่าช้าเพราะการเจรจาที่มีมาก่อนหน้านั้นก็ได้.. เราไม่รู้หรอก
ผมไม่คิดว่าการยื่นซื้อ โรเมโอ ลาเวีย กับ มอยเสส ไกเซโด จะเป็นเกมล่อให้เชลซีต้องซื้อในราคาที่แพงขึ้นอะไรอย่างนั้น เพราะเชลซีจะซื้อถูกหรือแพงไม่ได้เกี่ยวกับลิเวอร์พูล ไปปั่นราคาให้เชลซีจ่ายแพงขึ้นแล้วได้ประโยชน์อะไรในเมื่อสุดท้ายนักเตะคนนั้นก็ไปเป็นของเชลซี ไม่ได้มาเป็นของเรา
การยื่นข้อเสนอ 46 ล้านปอนด์สำหรับลาเวีย และ 111 ล้านปอนด์สำหรับไกเซโดจึงเป็นไปเพื่อซื้อนักเตะเข้าสู่ทีมด้วยความตั้งใจแท้ๆ ไม่ใช่เพื่อแกล้งปั่นราคาให้เชลซีจ่ายแพงขึ้น ลิเวอร์พูลไม่ได้มีเวลาเล่นเกมหรือทำสงครามประสาทกับใครมากขนาดนั้น
จากความเป็นไปที่เกิดขึ้น ลาเวียน่าจะเป็นตัวเลือกลำดับแรกในลิสต์ ตัวนักเตะมีศักยภาพ เป็นตัวหลักได้และสามารถพัฒนาขึ้นไปอีกได้ ราคาไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับเบอร์ต้นๆ ในตลาด เขามีโอกาสจะเป็นโชต้า เป็นมาเน่ เป็นซาลาห์ คนใหม่ให้ทีมได้ในแง่ความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
แต่เมื่อเซาธ์แฮมป์ตันรีดค่าตัวของดาวเตะวัย 19 ปีขึ้นไปจนสุดเพดาน คำนวนแล้วในอัตราส่วนที่ต้องจ่ายแพงขึ้นจากราคาตลาดพอๆ กัน (ประมาณ 65 เปอร์เซนต์) ลิเวอร์พูลสู้หันไปหาเบอร์ต้นๆ อย่าง ไกเซโด เลยดีกว่า เป็นการลงทุนมหาศาลเพื่อทำลายจุดอ่อนของทีมทันทีอย่างตอนซื้อฟาน ไดค์ กับ อลิสซง
แพงกว่า แต่ชัวร์กว่า มั่นใจได้มากกว่า จากการพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว
จะกรณีของ ลาเวีย หรือ ไกเซโด ก็ล้วนแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจของลิเวอร์พูล เป็นการตัดสินใจหลังจากที่ได้ประเมินทุกอย่างที่มีในมือแล้ว ทั้งแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งประสิทธิภาพของนักเตะ ทั้งความเหมาะสมของราคา ทั้งความเสี่ยงที่ต้องแบกรับ ฯลฯ
แต่การตัดสินใจส่วนตัวของ ลาเวีย และ ไกเซโด เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถกำหนดได้ สุดท้ายเขาก็เลือกเชลซีไม่เลือกลิเวอร์พูลด้วยเหตุผลและการประเมินของเขาเองเช่นกัน ไม่มีประโยชน์ที่จะตั้งแง่หรือดูถูกการตัดสินใจของเขา ลิเวอร์พูลต้องเดินหน้าต่อกับปัญหากองกลางตัวรับที่ยังคงอยู่
แล้วหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร.. เชื่อว่าลิเวอร์พูลคงเดินหน้าสู่ลำดับสามที่มีในลิสต์ แต่ความเสี่ยงของกรณีนี้คือมันก็เป็นลิสต์ลำดับสามนะ ไม่ใช่ลำดับแรกหรือลำดับสอง ลิเวอร์พูลวิเคราะห์ศักยภาพของนักเตะคนนี้ไว้อย่างไร ใช่คนที่ยังถูกต้องหรือไม่กับการแก้จุดอ่อนให้เด็ดขาด
เรื่องค่าตัวที่จะถูกโก่งราคาขึ้นไปอีกแน่ๆ นั้นเป็นปัญหาที่ต้องก้มหน้ายอมรับ ในเมื่อคุณตัดสินใจว่าจะแลกมันด้วยเวลาสำหรับการพิจารณาคุณสมบัติด้านต่างๆ อย่างรอบคอบเพื่อความเสี่ยงที่น้อยที่สุด
ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลจึงพบกับสภาวะผิดแผน 3-4 ครั้งต่อเนื่องกัน เริ่มจากการเสียฟาบินโญ่และเฮนเดอร์สัน ต่อด้วยการลองใช้ เทรนต์ โจนส์ และ แม็ค อัลลิสเตอร์ เล่นมิดฟิลด์ตัวรับไม่ได้ผลที่น่าพอใจ จากนั้นก็เป็นการปิดดีลลาเวียไม่สำเร็จ และการเบนเข็มไปทุ่มเงินระดับสถิติพรีเมียร์ลีกเพื่อไกเซโดที่น่าจะเป็นไม้ตายสุดท้ายกลับล้มเหลว
ร้อยกว่านาทีในเกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ผุดขึ้นมาตอกย้ำอีกครั้ง.. เมื่อจุดยุทธศาสตร์ตรงกลางสนามคลอนแคลน ความกระเสือกกระสนก็เกิดขึ้นอย่างที่ได้รับชมกันไป
ทุกการตัดสินใจมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ.. บางครั้งจ่ายถูก บางคราจ่ายแพง ลิเวอร์พูลดำเนินการซื้อขายผู้เล่นตามแนวทางและนโยบายของทีม มันก็เหมือนทีมอื่นๆ นั่นล่ะครับ มีทั้งที่ประสบความสำเร็จ และที่หกล้มคลุกฝุ่น
การตัดสินสิ่งที่ทำจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้วนั้นย่อมเห็นภาพที่ชัดกว่าการตัดสินในวันที่ต้องเลือกทางเดินเสมอ
มีปัญหาก็แก้ปัญหา มันคือคำพูดง่ายๆ ที่ทำยากเหลือเกินเมื่อมันเกิดขึ้นบนสถานการณ์บางอย่าง และดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลกำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่ในตอนนี้ ต้องตั้งหลักตั้งสติให้มั่นคงกันใหม่ท่ามกลางเสียงเย้ยเยาะว่าเป็นตัวตลก
แต่จะตลกหรือไม่ตลก คงอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน..
เหลือเวลาอีก 16 วันสำหรับการคลี่คลายปัญหา มันอาจจะผ่านไปด้วยดีก็ได้.. เพียงแต่ว่าแค่เกมแรกของฤดูกาลเท่านั้น เดอะค็อปก็ต้องลุ้นกันเหงื่อหยดเสียแล้ว
ตังกุย