มอยเซส ไกเซโด้ จากเด็กขายดอกไม้สู่นักเตะค่าตัวแพง

มอยเซส ไกเซโด้ จากเด็กขายดอกไม้สู่นักเตะค่าตัวแพง
หลังจากชักกะเย่อกันมาพักหนึ่งเชลซีกับไบรท์ตันตกลงค่าตัว มอยเซส ไกเซโด้ ได้ที่ £115 ล้าน ทำสถิติค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสหราชอาณาจักร แซงหน้าเพื่อนใหม่ เอนโซ เฟร์นานเดส ที่ £106.5 ล้านเมื่อเดือนม.ค. ต้นปีนี้นี่เอง

จะว่าไปไบรท์ตันภายใต้การบริหารทีมของ "เสี่ยโป๊กเกอร์" โทนี บลูม รอจังหวะอย่างใจเย็น ทั้งที่อาร์เซนอลยื่นข้อเสนอเมื่อม.ค. ต้นปีวงเงิน £70 ล้าน ทิ้งระยะเวลาห่างกันเพียงแค่ 7 เดือนค่าตัวของ มิดฟิลด์ทีมชาติเอกวาดอร์ คนนี้ทะลุถึง £115 ล้านหลังจากที่ลิเวอร์พูลของ จอห์น เฮนรี เกิดหน้ามืดอยากได้ในราคา £110 ล้าน ดูเหมือนเกือบได้แต่ด้วยเพราะนักเตะเจรจากับเชลซีมานับเดือนแล้ว จะด้วย "ค่าจ้าง" รายสัปดาห์ที่น่าจะได้เยอะกว่าหงส์ หรือมองว่าไม่อยากใช้ชีวิตแถบตะวันตกเฉียงของประเทศก็แล้วแต่ ดีลกับหงส์แดงจึงไม่บังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลา 48 ช.ม. ต่อมาเชลซี ก็จัดการตกลงกับไบรท์ตันจนได้

สัญญา 8 ปี เงื่อนไขต่อเพิ่มอีก 1 โดยสื่ออังกฤษเชื่อว่าเชลซีจะจ่ายเงินก้อนแรก £ 100 ล้าน ส่วนอีก £15 ล้าน คือสัญญาตามน้ำ ตามผลงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ทุกอย่างจะบรรลุอย่างเป็นทางการถ้าการตรวจร่างกายไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

คาดว่าวันสองวันนี้น่าจะชูผ้าพันคอ

เบ็ดเสร็จ ทอดด์ โบห์ลี และกลุ่มทุนเคลียร์เลค เจ้าของทีมเชลซีใช้เงิน 3 ตลาดสูงถึง £800 ล้าน หรือประมาณ 34,400 ล้านบาทในการสร้างทีมใหม่ เฉพาะไบรท์ตันทีมเดียวรับเงินจากเสี่ยทอดด์ เกือบ £200 ล้าน ทั้งค่าตัว มาร์ก กูกูเรย่า, ค่าชดเชยสัญญา แกรม พอตเตอร์ รวมทั้งล่าสุด ไกเซโด้ 

โทนี บลูม เซียนโป๊กเกอร์ ระดับแชมป์ยูเค ที่ผันตัวมาเป็นเจ้าของทีมบอล รับคำชมจากสื่อทั่วราชอาณาจักรและทั่วโลก เพราะ "ซื้อถูก" ขายแพง การลงทุนหลายครั้งไม่มีความเสี่ยง

นำนักเตะวัยรุ่นมาปั้นขายได้ราคางดงาม

คิดดูเขาสามารถทำราคาให้ นักเตะกองกลางตัวรับมีค่าตัวมากกว่า กองหน้า, ปีก ระดับพระกาฬเสียอีก

ยกนิ้วให้ เสี่ยโทนี ส่วนเสี่ยทอดด์ ทุ่มทุนครั้งใหญ่บอกเลย...ไม่ใช่เรื่องหน้ามืดหรือเรื่องกะโหลกกะลาไม่รู้ประสีประสาวงการบอล รอดูเสี่ย ทอดด์ เดินธุรกิจเชลซีนับจากนี้ครับ

ผมว่าเขามี "ของ" 

แค่ช่วงแรกต้อง "แลก" มาด้วยการปฏิรูปทีมและลงทุนก่อน

คิดดูขนาดทีมใหม่ โค้ชใหม่ โละนักเตะบานตะไท ยังเล่นกับลิเวอร์พูลแบบน่าชนะเลย 

55555

เรื่องราวของ มอยเซส ไกเซโด้ น่าสนใจอย่างยิ่งครับ เพราะมันคือเรื่องวงการฟุตบอลอาชีพที่สร้างโอกาสให้กับเด็กชายคนหนึ่งได้เติบโตและมีชีวิตที่ไกลจากโลกใบเล็กๆของพวกเขาอย่างมากมาย

ถ้าไม่มีมีบอลอาชีพ แล้วเราจะได้เด็กที่ช่วยแม่ขายพวงมาลัยคนนี้ จากเด็กในประเทศโลกที่สามอย่างเอกวาดอร์ กำลังพัฒนาหรือยังไม่พัฒนาก็แล้วแต่ ให้กลายเป็นนักเตะ "ค่าตัว" แพงที่สุดในดินแดนที่เป็นตำนานสร้างเกมฟุตบอลและดินแดนที่มีบอลอาชีพ "มูลค่า" มหาศาล….อย่างนั้นหรือ??

คณูปการของฟุตบอลอาชีพล้วนๆเลย

เดอะ ไทมส์ ทำรายงานพิเศษเรื่อง ไกเซโด้ เอาไว้เมื่อ 8 ส.ค. โดยนักข่าวที่ชื่อ เกรกอร์ โรเบิร์ตสัน ลงทุนบินไปบ้านเกิดของ ไกเซโด้ เพื่อค้นหาเรื่องราวมาฝากสมาชิกน.ส.พ. ออนไลน์ เดอะ ไทมส์ (เสียเงินจึงได้อ่าน) โดยเฉพาะ

ผมมีหน้าที่ขัดเกลามานำเสนอก่อนที่จะวิเคราะห์เชิงฟุตบอลในตอนท้าย

ลองอ่านกันดูครับ

1 บ้านเกิดเมืองนอน

ไกเซโด้ เกิดและเติบโตที่ ซานโต โดมิงโก เมืองใหญ่อันดับสี่ของเอกวาดอร์ อยู่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ห่างจากเมืองหลวง ควิโต 133 ก.ม. เป็นจุดพักก่อนมุ่งไปชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าขายและขนส่ง สภาพภูมิอากาศแบบทรอปิกคานา โดยเขาอยู่ที่นั่นจนถึงอายุ 14 ปี ก่อนมุ่งหน้าไปยังพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,800 เมตร ที่ควิโต อากาศเบาบางและหนาวเย็น แถบเทือกเขาอันเดส นั่นแหละ

2 เจ้าหนูมอย

ตามประสาเด็กละตินจะมีชื่อเล่นที่เรียกขานกัน เขาถูกเรียกว่า  El Nino Moi หรือเจ้าหนูมอย เพราะเขาคือลูกคนสุดท้องโดยมีพี่น้องท้องเดียวกัน 10 คนนั่นเอง ตัวเขาบอกกับแม่ การ์เมน ตั้งแต่เริ่มเตะบอลได้ว่าวันหนึ่งเขาจะไปร่วมทีม อินดิเพนเดียนเต้ เด บาเย ที่อยู่เมือง ซานโกลกีใกล้เมืองหลวง ควิโต สโมสรชื่อดังที่ก้าวจากระดับดิวิชั่นสามขึ้นลีกสูงสุดและประสบความสำเร็จในเวลา 15 ปี เคยล้มทั้ง ริเวอร์เพลท และ โบคา จูเนียร์ส เข้ารอบชิงบอลสโมสรอเมริกาใต้ถ้วยใหญ่สุดคือ ลิเบอตาดอเรส ได้รองแชมป์ปี 2016 และคว้าแชมป์ถ้วยกลาง โกปา ซูดาเมริกานา (เหมือนยูโรปา ลีก) ปี 2019 เป็นทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องสร้างนักเตะเยาวชนสู่วงการบอลเอกวาดอร์

3 เริ่มฝึกบอลตอน 5 ขวบ

"หนูมอย" เริ่มฝึกฟุตบอลตอนอายุ 5 ขวบที่ ร.ร. สอนฟุตบอล ในเขต มูเฮร์ ตราบาฮาดอรา ที่แปลว่า "working woman" ซึ่งดูสภาพสนามและสิ่งอำนวยความสะดวกแล้ว ไกเซโด้ ไม่น่าเก่งได้ เช่น สนามมีแต่ดินมากกว่าหญ้า พื้นไม่เรียบ แต่เด็กๆก็รักที่จะฝึกเตะบอลกัน ในย่านนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับแหล่งเสื่อมโทรมของเมือง ซานโต โดมิงโก ทั้งเด็กแว้น, ติดยา, ลักเล็กขโมยน้อย กระนั้นยังมีศูนย์ฝึกบอลให้เด็กได้มาเล่นฟุตบอลกัน ซึ่ง ไกเซโด้ เริ่มต้นที่นี่จนถึงอายุ 12 ขวบ

4 อีบัน เกร์รา โค้ชคนแรก

เกร์รา ปัจจุบันอายุ 54 ปี เห็นแววของ "หนูมอย" ที่วิ่งเตะบอลตามท้องถนน โดยใช้ก้อนอิฐ สองก้อนเหมือนเสาประตู "พวกเขาเตะบอลเท้าเปล่ากัน ผมเห็นแล้วเลยหาบอลหนัง, กรวยตั้งทำเป็นเสาประตู ไปให้ ดูเขาแล้วมีแววในเชิงบอล ผมจึงชวนไปฝึกฟุตบอลที่ศูนย์"

จากนั้นรวมทีมไปแข่งขันกับทีมอื่นๆ ตรงนี้มีค่าใช้จ่าย บ้านของ ไกเซโด้ ก็อัตคัตพอสมควร โค้ชเกร์รา เล่าว่า "ผมเป็นคนช่วยจ่ายให้ แม้กระทั่งรองเท้าเตะบอลยังไม่มีใส่เลย บางครั้งเพื่อนก็ให้ยืม แต่สิ่งที่เขามีคือความสามารถในการเล่น เพื่อนๆรัก เล่นได้ทั้งกองหน้า, กองกลาง ซ้าย, ขวา บางทีก็ไปเป็นผู้รักษาประตู"

5 ช่วยแม่ขายพวงมาลัย

พ่อทำอาหารขาย แม่ทำดอกไม้ขายช่วงวันหยุดตามเทศกาลต่างๆ วาเลนไทน์, อีสเตอร์ ,  Día de los Muertos หรือวันแห่งความตายเป็นวันหยุดประจำปี 31 ต.ค.ถึง-2 พ.ย. เพื่อระลึกถึงครอบครัว,ญาติที่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นความเชื่อว่าวิญญาณผู้ตายจะกลับมาบ้าน แล้วคนที่มีชีวิตอยู่ตั้งแท่นบูชา จัดข้าวปลาอาหาร สิ่งของที่ผู้ตายชอบทั้งหมดเอาไว้ให้  (ไม่ใช่ฮาโลวีนนะครับ)  บังเอิญ ไกเซโด้ เกิด 2 พ.ย. พอดี เขาไม่เคยได้ฉลองวันเกิดเพราะต้องไปช่วยแม่ขายดอกไม้ พวงมาลัย นั่นเอง

6 เริ่มต้นเดินทางไกล

อายุ 13 เขาถูกทีมรวมดารา ซานโต โดมิงโก เลือกติดทีม จากนั้นทีมสมัครเล่น ไฮปาดิดา เชิญเขาไปร่วมทีม เริ่มเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นกับฟุตบอล ทีมนี้มีห้าสนาม มีเด็กเล่นฟุตบอล 350 คน โค้ช 8 คน ด้วยเพราะทีมนี้เป็นพันธมิตรกับทีมอาชีพ เอสโปลี จึงได้รับการสนับสนุนหลายอย่าง แต่พอ เอสโปลี ตกชั้น สัญญากับ ไฮปาดิดา สิ้นสุดลง เงินสนับสนุนหายไป ตัวของ ไกเซโด้ ที่เหมือนได้ทุนเตะบอลก็ต้องออกจากทีมสมัครเล่นนี้ 

ปรากฏว่า ดาร์วิน กาสติโย ผ.อ. ของทีมร่วมมือกับผู้ปกครองที่พอมีเงิน สมทบทุน ช่วยให้ ไกเซโด้ ได้เล่นบอลโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ก่อนส่งไปคัดเลือกทดสอบฝีเท้าหลายทีม แต่ก็ไม่ได้ แม้จะเล่นได้ดีก็ตาม

ว่ากันว่าแม้กระทั่งนักเตะฝีเท้าดียังต้องได้โอกาส...เมื่อโชคชะตาฟ้าลิขิตจริงๆ  พี่ชายของเขา มารโก ได้บอก กาโล โรดริเกส โค้ชทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 16 ปี ของทีมดัง อินดิเพนเดียนเต้ ให้มาดูฟอร์มน้องชายเขาหน่อย ซึ่ง โรดริเกส บอกว่า "โค้ชทุกกลุ่มอายุมีบทบาท ไม่มีใครค้นพบนักเตะง่ายๆ แต่เมื่อได้เห็นฝีเท้าของ ไกเซโด้ แล้ว ผมรู้ว่าเขาจะไปเล่นต่างแดนได้เลย"

นั่นเองเมื่อ ไกเซโด้ มาทดสอบฝีเท้า ที่ศูนย์ฝึกซ้อมของสโมสรอินดิเพนเดียนเต้ เขาผ่านการพิจารณาได้เป็นนักเตะฝึกหัดพร้อมกับเด็กอีก 150 คนทั่วประเทศที่สโมสรคัดเลือก มีที่พัก อาหารสามมื้อ ได้ฝึกบอลเพื่อก้าวไปเป็นนักเตะอาชีพ ซึ่ง มิเชล เดลเลอร์ เศรษฐีใหญ่ของเอกวาดอร์ให้เงินสนับสนุนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาฟุตบอลเอกวาดอร์ 

7 สู้เพื่อแม่...

สองสามเดือนแรกที่ ไกเซโด้ ฝึกฟุตบอลในสภาพแวดล้อมที่แม้ว่าจะดีล้ำกว่าที่เคยอยู่มา แต่ความสบายกายกลับแลกมาด้วยความไม่สบายใจ เขาดันเป็นโรคคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน ไม่อยากเตะบอล ดูเหงาๆ ท่ามกลางผู้คน ตอนนั้น โรดริเกส โค้ชเยาวชนของทีมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ไกเซโด้ จะอยู่อีกนานแค่ไหน

เหมือนเขาปรับตัวเข้ากับผู้คนและสภาพแวดล้อมใหม่ไม่ได้ แม้โค้ชและเพื่อนๆจะช่วยกันกระตุ้น เนื่องจากเขาเป็นเด็กขี้อาย ไม่ค่อยสุงสิงกับใครมาก แต่จุดสำคัญคือ แม่ การ์เมน ที่บอกไม่ให้เขากลับบ้าน ให้ฝึกบอลต่อไป เพื่อเล่นอาชีพ หาเงินมาจุนเจือครอบครัว....ตรงนี้แหละที่ทำให้ ไกเซโด้ ต้องการสู้เพื่อแม่และครอบครัว

8 แฟนผี....ชอบป็อกบา 

โรดริเกส ให้ข้อมูลว่า "เขามีสองบุคลิก ในสนามเขาคำรามดุจดั่งสิงโต  แต่พอออกนอกสนามเขาแทบไม่พูดไม่จากับใคร" มีครั้งหนึ่งเขาโดนใบแดงไล่ออกจากสนามสองเกมติด สโมสรส่งนักจิตวิทยา ดร.บิคตอร์ กวามาน มาพูดคุยเพื่อดูว่าเขามีปัญหาอะไรในใจหรือเปล่า 

โรดริเกส บอกว่า "ไม่มีอะไรลึกลับเลย เขาต้องการแย่งบอล เขาเล่นเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายของเขา เขาเคยพูดว่าวันหนึ่งเขาจะต้องไปเล่นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขามักบอกว่าเขาเล่นสไตล์ ปอล ป๊อกบา ฟังเขาพูดแล้วเป้าหมายของเขาคือพรีเมียร์ลีกนั่นเอง"

9 ติดทีมอินดิเพนเดียนเต้

ปี 2019 เขาได้รับโอกาสไปร่วมซ้อมกับทีมชุดใหญ่ของสโมสร ผู้ช่วยโค้ชคือ มาร์ติน อันเซลมี ตอนนั้นบอกว่า "เด็กคนนี้เข้าใจเกมทะลุปรุโปร่ง" ตอนนั้นเขายังไม่เต็ม 17 แต่โชคร้ายเส้นเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีกต้องพัก 10 เดือนเต็ม ก่อนกลับมาเริ่มฟื้นฟูร่างกายแล้วเริ่มซ้อม ซึ่งเขาหายเร็วมาก และกลับมาเล่นบอลได้ดีเหมือนเดิม อันเซลมี ถึงกับบอกหลายคนว่า "หมอนี่ มีดีพอที่จะเล่นให้เรอัล มาดริด เขาเล่นคล้ายๆ กาเซมิโร ไม่เชื่อคอยดู"

พัฒนาการของเขาโดดเด่นจนเล่นทีมชุดใหญ่ เป็นตัวหลักของทีม มีเรื่องเล่าว่าช่วงหนึ่งที่เขาเป็นกัปตันทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปีของสโมสร  ทีมมีโปรแกรมไปแข่งที่ปารากวัย ในบอลถ้วย ลิเบอตาดอเรสชุด 20 ปี ซึ่งโค้ชทีมชุดใหญ่ มิเกล รามิเรส ต้องการให้เขาบินกลับมาเอกวาดอร์ เพื่อลงเล่นในลีกพบทีม ลีกา เด ควิโต ในสัปดาห์นั้น ซึ่งเขาบินกลับมาช่วยทีมชุดใหญ่ แล้วบินกลับไปปารากวัยช่วยทีมชุดเยาวชนคว้าแชมป์ ลิเบอตาดอเรส 

รามิเรส บอกว่า "เด็กคนนี้มีครบทุกอย่างทั้ง ความสามารถและทัศนคติ เขาจะไปไกลแน่นอน"

มีหลายเรื่องที่ทุกคนข้างกายชื่นชมในตัวของเขา แม่ การ์เมน บอกว่า "มอย ไม่เคยลืมรากเหง้าตัวเอง ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยไปซ้อมบอลโดยไม่ได้กินอะไรนอกจากดื่มน้ำเปล่าใส่น้ำตาลทรายแดงอยู่ในท้อง" เขายังใช้ชีวิตสมถะเหมือนเดิม

ช่วงอยู่ไบรท์ตัน เขากลับไปหา เกรรา โค้ชคนแรก บริจาคเงินและมอบสิ่งของ อุปกรณ์ให้กับศูนย์ฝึกฟุตบอลแรกของเขา  รวมทั้งทีมสมัครเล่นแรก ไฮปาดิดา

เขาไปที่ศูนย์ฝึกฟุตบอลทีมเยาวชนสโมสร อินดิเพนเดียนเต้ ทีมแรกของเขา ในคลาสเรียนภาษาอังกฤษ เขาบอกกับเด็กเยาวชนว่า "ต้องเรียนภาษาอังกฤษ มันจำเป็นสำหรับพวกคุณ" และกระตุ้นให้เด็กๆได้เดินตามรอยเท้าของเขาให้ได้ 

 นั่นรวมทั้งเขาซื้อบ้านให้พ่อแม่พี่น้อง 9 คนใช้ชีวิตอยู่ในเมือง ท้องถิ่นที่ห่างไกลจากแหล่งเสื่อมโทรมจุดเริ่มต้นที่สร้างเขาขึ้นมา 

10 สู่การเป็นนักเตะค่าตัวแพงสุดในเกาะอังกฤษ

ไบรท์ตัน คือทีมที่ติดต่อและทาบทาม ไกเซโด้ แย่งกับหลายทีมก่อนได้มาที่ราคา £4.5 ล้าน เมื่อ 1 ก.พ. 2021 ตลาดนักเตะช่วงสอง ก็ยังไม่มีส่วนร่วมอะไรนอกจากชื่อสำรองอยู่หนึ่งนัด ก่อนที่ซีซั่นต่อไป 2021-22 ไบรท์ตันปล่อยให้ทีมในเบลเยียม เบียรสคอต ยืมไปใช้งานเสริมกระดูก  จากนั้น ม.ค. 2022 ไบรท์ตัน ดึงกลับมาแล้วก็ค่อยๆมีบทบาทกับทีมจนโดดเด่นเข้าตาแมวมองทีมใหญ่หลายทีม โดยเฉพาะอาร์เซนอล จนมีการทาบทามขอซื้อเมื่อ ม.ค. 2023 แต่ ไบรท์ตัน ไม่ขาย  แม้ตัวเขาทำหนังสือในโซเชียล มีเดีย ของเขาระบุเหตุผลที่ต้องการย้ายทีม จนกระทั่งใกล้เปิดซีซั่นนี้เขาดื้อแพ่งไม่ยอมซ้อมและต้องการย้าย หลังจากยื่นหนังสือขอย้ายทีมแล้ว เป็นข่าวดังทั่วโลกในสองสามวันที่ผ่านมาทั้งลิเวอร์พูลและเป็นเชลซี ที่คุยกันไว้ก่อนแล้วได้ตัวไปในราคาแพงสุดในเกาะอังกฤษ

บทวิพากษ์ ไกเซโด้....เล่นตรงไหนดี?

ว่ากันด้วยสถิติก่อนนะครับ....ดูว่าทำไมหลายทีมอยากได้ ไกเซโด้

ซีซั่นที่จบลงไปเขามีส่วนในความสำเร็จครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของ ไบรท์ตัน นั่นคือการได้ที่หกและไปเล่นยูโรปา ลีก มีนักเตะสองคนในทีมเท่านั้นที่เล่นจำนวนนาทีมากกว่าเขาคือ ปาสกาล โกรสส์ และ ลูอิส ดังค์ โดย ไกเซโด้เล่นไป 3,140 นาที 

ตำแหน่งของเขาในทีมคือกองกลางรวมทั้งฉุกเฉินในตำแหน่งแบ๊กขวาได้ด้วย

ไบรท์ตันใช้เขาเล่นกลางตัวตัดเกม 61% กองกลางตัวคุมเกม 30% แบ๊กขวา 8%

ในแดนกลางนั้นเขาเคยเล่นคู่กับ โกรสส์, อเล็กส์ แมก อลิสเตอร์ ซึ่งเขาจะมีงานหลักคือตัดและทำลายเกมคู่แข่งมากกว่าเดินเกมรุก 

ดังนั้นเราจึงเห็นเขาคุมพื้นที่แดนกลาง ตัดบอล เบรกเกมคู่แข่งที่เติมเข้ามาระหว่างไลน์ เข้าปะทะ รวมทั้งแย่งบอลคืนกลับมาอีกด้วย ผลงานของเขาในทีมคืออันดับหนึ่ง ทั้งการตัดบอล,เข้าปะทะ, แย่งบอลคืนกลับมา ถ้าจะมีจุดไหนที่เป็นจุดบอลของเขาคงเป็นเรื่องการยิงประตูนั่นเอง

ด้วยสไตล์ของเขาที่ครบเครื่อง บ๊อกส์ ทู บ๊อกส์ รับได้รุกดี ในรูปแบบ 4-2-3-1 ก็ไม่เกี่ยง หรือจะ 3-4-3 ของ พอช เขาจะยืนกับ เอนโซ เฟร์นานเดส ที่พูดสแปนิช กันสบายแน่ๆ (เดือดร้อน กัลลาเกอร์ละ) ซึ่งนั่นจะทำให้แดนกลางของเชลซีแกร่งขึ้นมาทันตาเห็น

นึกภาพ เอนโซ-ไกเซโด้ ยืนคู่กัน คงเหมือนครั้งหนึ่งที่เชลซีมี ก็องเต้ ยืนกับ เนมานย่า มาติช (คู่หูที่ก็องเต้ ชื่นชอบ)ชุดแชมป์พรีเมียร์ลีก2016-17 ยุค อันโตนีโอ คอนเต้ เป็น ผ.จ.ก. 

ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ขึ้นกับ พอช ที่น่าจะยืดหยุ่นในรูปแบบการเล่น คงไม่ใช้แผน 3-5-2 เหมือนนัดเสมอหงส์แบบน่าชนะ แน่ๆ น่าจะปรับได้หลายแผนแต่ไม่ว่าแผนไหน ไกเซโด้ น่าจะมีบทบาทสำคัญกับทีม 

ไม่ใช่เพราะซื้อมาแพง.....แต่เพราะความสามารถของเขาในวัย 21 ปี ที่วุฒิภาวะฟุตบอลพร้อมและยังสามารถพัฒนาต่อได้อีก

JACKIE

ข้อมูลเดอะ ไทมส์


ที่มาของภาพ : getty images
BY : JACKIE
อดิสรณ์ พึ่งยา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport
X