หงส์ขาดความสมดุลย์! สิ่งที่อยากบอกหลังเกม เชลซี พบ ลิเวอร์พูล

หงส์ขาดความสมดุลย์! สิ่งที่อยากบอกหลังเกม เชลซี พบ ลิเวอร์พูล
ศึก "ไกเซโด้ ดาร์บี้" ระหว่าง เชลซี กับ ลิเวอร์พูล ขบวนล่าสุดที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ จบลงด้วยการเสมออีกแล้วนะครับ โดยเป็นการเสมอกันถึง 7 เกมติดต่อกันในทุกรายการเข้าให้แล้ว

และต่อไปคือสิ่งที่ท่านผู้ชมทางคอนโดมีเนียมคนหนึ่งอยากจะบอก

1. เรียนตามตรงคือตอนแรก ผมมั่นใจแบบเต็มประดาว่าพลพรรคหงส์แดงยุคปรับปรุงแดนกลางใหม่จะบุกไปเชือดเจ้าของบ้านแบบเชือด...เชือด...นิ่มๆ ด้วยศักยภาพของผู้เล่น และมาตรฐานของทีมที่เหนือกว่าเชลซี มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นแทบจะยกชุด เรียกว่าอยู่ในช่วงสร้างทีมใหม่เลยดีกว่า ผู้จัดการทีมก็คนใหม่ มันคงต้องใช้เวลาในการปรับทีมให้ลงตัวพอสมควร

ผิดกับ ลิเวอร์พูล ที่เปลี่ยนห้องเครื่องให้สดใหม่มากขึ้น และด้วยทีเด็ดทีขาดในเกมรุก พวกเขาจึงน่าจะบุกไปเชือดสิงโตได้แบบไม่มีปัญหา

ที่ไหนได้นะครับ 

กลับกลายเป็น เชลซี ที่เล่นได้ไฉไลกว่า เช่นเดียวกับน่าจะเป็นผู้ชนะมากกว่า...ซะอย่างนั้น !!!

2.ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เปิดฉากอย่างคึกคะนองพลางครองบอลบุกอยู่ข้างเดียวในช่วง 10 นาทีแรก ก่อนชิงจังหวะขึ้นนำ 1-0 ได้สำเร็จ

รูปแบบการเข้าทำก็ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

หลังตัดบอลได้หน้ากรอบเขตโทษตัวเอง "หงส์แดง" เปลี่ยนจังหวะเป็นรุกทันที อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่สวมบทผู้เล่นหมายเลข 6 วางยาวข้ามไลน์ให้ โม ซาล่าห์ ที่ดูดบอลลงอย่างนิ่มนวลทางขวา ก่อนบรรจงไหลบอลเข้ากลางให้ ลุยซ์ ดิอาส พุ่งเข้าชาร์จอย่างเหมาะเหม็ง

ขนาดขึ้นนำแล้ว พวกพรี่ๆ ก็ยังพยายามบุกต่อเนื่อง กระทั่งมาได้ประตูที่ 2 จากจังหวะที่ เทรนต์ แทงลูกให้ "ไมตี้โม" หลุดไปยิง

แค่ครึ่งชั่วโมง หงส์ทิ้งห่าง 2-0 ด้วยรูปเกมที่เหนือกว่า

ทว่าช้าก่อน VAR จับได้ว่าล้ำหน้าอย่างชัดเจน

แทนที่จะตามหลัง 2 ประตู เชลซี ยังอยู่ในเกม

นี่แหละจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะถ้าตามหลัง 2 ประตู งานของเจ้าบ้านจะยากขึ้นเป็นทวีคูณ 

3. หลังรอดพ้นจากการเสียประตูที่ 2 อาการของ เชลซี ก็กระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ และนับตั้งแต่นาทีที่ 30 เป็นต้นไป พวกเขายกระดับตัวเองขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อจนสามารถตีเสมอได้สำเร็จ

ถามว่าเพราะอะไร ???

คำตอบอยู่ที่แดนกลางครับ

กองกลางของสิงห์บลูส์ ประกอบด้วย เอ็นโซ เฟร์นานเดส, คอร์นอร์ กัลลาเกอร์ และ คาร์นี่ย์ ชุควูเมก้า เล่นได้สมดุลย์มากกว่ากองกลางของหงส์แดงครับ

กลาง 3 ตัวของ ลิเวอร์พูล มี อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่ถอยต่ำลงไปเป็นตัวรับ 

นักเตะอาร์เจนติน่าผู้นี้พอเล่นเป็นตัวรับได้ ไม่น่าเกลียดเลยนะครับ แต่ต้องแลกกับการเสียประโยชน์ในเกมรุก

ส่วนมิดฟิลด์ตัวกลางอีก 2 คน คือ โดมินิค โซโบสไล กับ โคดี้ กักโป ทำหน้าที่ตัวรุก

ช่วงต้นเกมดาวเตะฮังการี่ก็ดูวูบวาบดีอยู่หรอก ก่อนจะค่อยๆ ดาวน์ลงไป ขณะที่ โคดี้ กักโป โชว์ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐาน แถมดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะกับตำแหน่งนี้ (หมายเลข 😎 สักเท่าไหร่

เมื่อเจอการบดบี้เข้าใส่ของผู้เล่นเจ้าถิ่น เกมก็ชักจะติดๆ ขัดๆ คือเกมรุกก็ขับเคลื่อนกันไม่ค่อยถนัด เกมรับก็ไม่ใช่งานถนัดของทั้ง 3 คนนี้อยู่แล้ว

ทีนี้ลองนึกถึงห้องเครื่องของ ลิเวอร์พูล ที่เคยประกอบด้วยตัวรับอย่าง ฟาบินโญ่ บวกด้วยหมายเลข 8 อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ติอาโก้ อัลคันตาร่า ดูนะครับ

ไม่มีตัวรุกแบบจ๋าๆ ก็จริง ทว่าแต่ละคนทำงานหนัก ด้วยจัดอยู่ในประเภท "มดงาน" มันจึงนำมาซึ่งความสมดุลย์มากกว่า 

เฉพาะอย่างยิ่งการเพรสซิ่งเข้าใส่คู่แข่ง

ขณะที่แดนกลาง 3 ตัวของ ลิเวอร์พูล ในเกมนี้จัดอยู่ในประเภท "ตัวรุก" ทั้ง 3 คน 

นี่แหละความสมดุลย์ที่ผมหมายถึง และนั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไม พวกเจาถึงยอมทุ่มเงิน 111 ล้านปอนด์ เพื่อเอา มอยเสส ไกเซโด้ มาร่วมทีม

4. สิ่งที่เห็นจาก เชลซี ที่มี เมาริซิโอ โปเชตติโน่ เป็นกุนซือ คือการเล่นที่มีชีวิตชีวามากขึ้น พวกเขาเล่นกันเป็นระบบ และมีทีมเวิร์คมากขึ้น ไม่สะเปะสะปะต่างคนต่างเล่นแตกต่างจากตอนที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เป็นกุนซืออย่างชัดเจน

เอ็นโซ เฟร์นานเดซ คือดาวเตะระดับโลกอย่างแท้จริง เขาคือหัวใจสำคัญในแดนกลางที่พักบอล คุมจังหวะเกมได้นิ่งมาก เอาตัวรอดเก่ง เสียบอลยาก แถมให้บอลแม่นยำซะด้วย

มิเท่านั้นยังสามารถทดแทนจุดบกพร่องของมิดฟิลด์อีก 2 ตัวได้อีกต่างหาก

วิงแบ็ค 2 ข้างอย่าง รีซ เจมส์ กับ เบน ชิลเวลล์ ก็เติมเกมได้สะเด่าดีนักแล โดยเฉพาะตอนขึ้นเกมทางขวาประสานงานกับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่เล่นงานเกมรับของผู้มาเยือนจนปั่นป่วน

5. ส่วนบทสรุปของหงส์แดงในเกมนี้

ความดุดันและกะซวกไส้ในเกมรุกที่เคยสัมผัสได้ด้วยตาเปล่า ลดน้อยลงไปพอสมควรนะครับ ขอโทษ

กองหน้า 3 ตัว ยืนห่างกันมากไป การเติมเกมรุกริมเส้นจากฟูลแบ็ค 2 ข้างก็หายไป กองกลางก็ปราศจากความสมดุลย์ และยังต้องการมิดฟิลด์ตัวรับขนานแท้มาเสริมทัพ เพื่อทดแทน ฟาบินโญ่ 

ตัวสำรองราคา 80 ล้านปอนด์อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ที่ถูกส่งลงมาแก้เกมก็ดันทำหมูหก เมื่อจับบอลแรกที่เพื่อนจ่ายมาให้ในกรอบเขตโทษอย่างกระโดกกระเดกจนไม่ได้สับไกยิงซะอย่างนั้น

มองโลกในแง่ดี นี่เพิ่งเกมแรกของฤดูกาลเท่านั้น อะไรและอะไรมันอาจไม่เข้าที่เข้าทางมากนัก

เส้นทางยังเหลืออีกยาวไกล ตลาดการซื้อขายตัวผู้เล่นก็ยังไม่ปิด มีเวลาปรับปรุงทีมให้ดีขึ้นอีกเยอะ 

โบนัส แทร็ค: จังหวะที่พวกพรี่ๆ ได้ลูกเตะมุม แล้วผู้เล่นของ เชลซี (จำไม่ได้ว่าใคร) ยกมือขึ้นมาปัดบอลดื้อๆ 

ผมมองว่าเป็น "จุดโทษ" นะครับ 55555

บอ.บู๋


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : บอ.บู๋
บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport