ด้วยความที่หลงใหลในเกมกีฬา เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เลือกเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อเข้าชมการแข่งขันรายการอื่น ๆ ตอนช่วงพักร้อนตอนซัมเมอร์ 2023
ต้นเดือนมิถุนายน เขาไปนครบาร์เซโลน่า ดู สแปนิช กรังด์ปรีซ์
หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ข้ามไปกรุงปารีส เสพบรรยากาศ คอร์ตดิน เฟร้นช์ โอเพ่น รอบรองชนะเลิศ คู่ระหว่าง การ์ลอส อัลการาซ ดวลกับ โนวัค ยอโควิช หนึ่งในนักกีฬาที่ เทรนท์ ชื่นชอบมากที่สุด
แล้วย้อนไปตอนสิ้นเดือนพฤษภาคม เขาก็เดินทางข้ามทวีปไปยัง สหรัฐอเมริกา สัมผัสเกม เอ็นบีเอ รอบชิงชนะเลิศ สายตะวันออกนัดสุดท้ายที่ ไมอามี่ ฮีต บุกโค่น บอสตัน เซลติกส์ ถึง ทีดี การ์เด้น
เทรนท์ โปรดปรานกีฬาบาสเกตบอลเช่นกัน และทีมที่เขาเชียร์คือ มิลวอคกี้ บัคส์
บัคส์ ซึ่งเป็นอดีตแชมป์ เอ็นบีเอ เมื่อปี 2021 โดน ฮีต เขี่ยตกรอบแบบสุดช็อคตั้งแต่เพลย์ออฟ 2023 รอบแรก จนนำไปสู่ประโยคคำพูดสุดคลาสสิคจากปาก ยานนิส อันเททูคุมโป ยอดฟอร์เวิร์ดของทีม
"ในโลกของกีฬามันไม่มีคำว่าล้มเหลว" กรีก ฟรีก ตอบทันทีหลังโดนนักข่าวรายหนึ่งถามว่า นี่เป็นฤดูกาลที่ล้มเหลวของ บัคส์ หรือไม่
"มันมีทั้งวันที่ดี, วันที่แย่ บางวันคุณจะประสบความสำเร็จ แต่บางวันมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น บางวันมันเป็นวันของคุณ ขณะที่บางวันมันไม่ใช่ นั่นแหละคือกีฬา"
"คุณไม่มีทางชนะได้ตลอดหรอก"
.
.
.
ในการให้สัมภาษณ์กับ เดลี่ เมล ของ เทรนท์.. เขาพูดถึงบทสัมภาษณ์ ยานนิส ดังกล่าว
เขาพยักหน้าแล้วยอมรับคำพูดที่ว่า -ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนำไปสู่ความสำเร็จ-
"ถ้าคุณไม่รู้ว่าความล้มเหลวคืออะไร แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะประสบความสำเร็จได้"
"ถ้าคุณเรียนรู้จากมัน, ทำอะไรบางอย่างจากมันได้ มันก็ไม่ถือว่าเป็นความล้มเหลว"
"นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมย้อนนึกถึงตอนที่เราแพ้เกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศครั้งแรกต่อ เรอัล มาดริด ในกรุงเคียฟเมื่อปี 2018 และไม่คิดว่านั่นเป็นความล้มเหลว"
"มันก็แค่ว่าตอนนั้นเรายังไม่พร้อม"
"ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับฤดูกาลถัดไป ซึ่งเราก็ได้แชมป์มาครองหลังจากนั้น บทเรียนที่ดีที่สุดของเราคือการแพ้นัดชิงชนะเลิศครั้งนั้น"
"มันสอนให้เรารู้ว่าต้องทำอะไรถึงจะชนะเกมใหญ่ ๆ ได้"
.
.
.
ฤดูกาล 2022/23 คือซีซั่นที่น่าผิดหวังสำหรับ ลิเวอร์พูล
พวกเขาจบอันดับ 5 ไม่มีแชมป์อะไรติดมือ แถมหลุดโควตาไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก
และเมื่อพูดถึงผลงานส่วนบุคคล เทรนท์ กลายเป็นเป้าถูกโจมตีมากที่สุดคนหนึ่งจากฟอร์มการเล่นไม่น่าประทับใจ ก่อนที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะพลิกบทบาทของหนุ่มวัย 24 ปีจนกลับมามีส่วนสำคัญต่อระบบการเล่น ลิเวอร์พูล ตอนท้ายฤดูกาลที่แล้ว
แน่นอนว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่คุณต้องใช้ชีวิตหลังเพิ่งผ่านช่วงเวลายากลำบาก
"ผมต้องการความรู้สึกแบบว่า -ฉันพร้อมแล้ว- สำหรับการลงเล่นฤดูกาลใหม่" เทรนท์ ตอบด้วยความมุ่งมั่นแม้ยังว่าตัวเองยังถูกห้อมล้อมด้วยความทรงจำอันเจ็บปวดจากปีก่อน
"ฤดูกาลก่อนถือว่าเป็นซีซั่นที่เลวร้ายมากๆ และผมก็มีเวลาคิดเกี่ยวกับมันตลอดทั้งช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา"
นอกเหนือจากการเปลี่ยนชุดความคิดที่ฝังอยู่ในหัว เทรนท์ เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองจากทรงผมเดรดล็อกส์มาเป็นลุคส์ผมสั้นที่เราเห็นโฉมใหม่นี้ตอนช่วงปรี-ซีซั่น
"ผมอยากรู้สึกพร้อมในทุกๆ ด้านเลย"
"ทั้งเรื่องความสะอาด ดูดี อยากมีความพร้อมในทุกด้าน ไม่ทำอะไรที่มันไร้สาระ"
"ผมอยากลงเล่นฤดูกาลใหม่ด้วยความคิดและทัศนคติแบบนั้น"
"ผมรู้ดีว่าแค่การตัดผมมันไม่สามารถป้องกันเรื่องแบบนั้นได้ แต่ผมขอรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด"
"ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องทำการกำจัดเรื่องที่จะทำให้ไขว้เขวไปให้หมด"
"ผมอยากมีความรู้สึกที่ชัดเจนสำหรับการลงเล่นฤดูกาลใหม่เพื่อทำให้มั่นใจว่าผมจะโชว์ฟอร์มสุดยอดได้ในทันที และสามารถช่วยให้ทีมเก็บชัยชนะได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมไปถึงช่วยให้ทีมได้แชมป์ลีกมาครองด้วย"
.
.
.
เมื่อ ลิเวอร์พูล กำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, ฟาบินโญ่ และโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ไม่ได้อยู่กับทีมอีกต่อไป
มันจึงทำให้บทบาทของ เทรนท์ มีเพิ่มมากขึ้น
เขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไป เขาขยับขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นซีเนียร์ที่เด็ก ๆ ต้องเรียนรู้
ซึ่งความรับผิดชอบที่มากขึ้นมาจากการที่ เทรนท์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองกัปตันทีมลิเวอร์พูล
"ผมรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลง"
"ตอนนี้ ผมต้องมีความรับผิดชอบทั้งเรื่องในและนอกสนาม ผมเห็นตัวเองในฐานะผู้เล่นซีเนียร์"
"ผมผ่านเกมมาแล้ว 250-300 นัด ไม่ได้แค่ผมมีความรับผิดชอบกับการกระทำและบทบาทของผมในทีมเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องผลงานของทีม และวิธีการที่เราจะตั้งเป็นมาตรฐานเรื่องในและนอกสนาม"
"ผมรู้ดีว่าผมจะไม่มีวันเป็นแบบ เจมส์ มิลเนอร์ ได้ ผมจะไม่มีวันเป็นผู้นำแบบนั้นได้ แต่ผมจำเป็นต้องแสดงคุณภาพของความเป็นผู้นำที่มีอยู่ออกมาให้คนได้เห็นกัน และใช้มันเพื่อส่งผลดีต่อทีม ผมจำเป็นต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อพยายามทำสิ่งที่ผมอยากจะทำให้ได้"
"เป้าหมายในฤดูกาลนี้คือการคว้าแชมป์ลีกมาครองให้ได้ ผมคิดถึงแต่เรื่องนั้นตอนที่ตื่นขึ้นมาที่โรงแรมในตอน 7 โมงเช้า, ตอนออกไปวิ่ง, ตอนที่ซ้อม 3 ครั้งต่อวัน นั่นคือสิ่งที่อยู่ในหัวของผมในตอนนี้"
.
.
.
นักฟุตบอลบางคนใช้เวลาช่วงปิดฤดูกาลด้วยการดูกีฬาชนิดอื่น ๆ หรือบางรายผละตัวจากวงการนี้ไปชั่วคราวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
แต่สำหรับ เทรนท์ ฟุตบอลคือสิ่งที่เขาไม่สามารถนำออกจากชีวิตได้เลย
"ผมเป็นแฟนฟุตบอลตัวยง"
"มันเป็นแบบนั้นมาเสมอ บางทีผมก็ติดมันมากเกินไปด้วยซ้ำ ผมหายใจเข้าออกเป็นเรื่องฟุตบอล"
"ผมมักดูฟุตบอลตอนค่ำ ๆ เสมอ ส่วนตอนปิดฤดูกาล ผมคิดถึงการได้ดูเกมฟุตบอลมากกว่าการได้ลงเล่นเอง เวลามันไม่มีเกมฟุตบอลแล้วนั้นมันก็รู้สึกว่างเปล่าสุด ๆ"
"สำหรับผมแล้วเกมที่โดดเด่นของฤดูกาลก่อนคงเป็นนัดระหว่าง ไบรท์ตันฯ กับ แมนฯ ซิตี้ ผ่านไปแค่ 5 นาทีผมก็ลืมโทรศัพท์และจดจ่ออยู่กับการดูเกมนั้น"
"ในด้านแท็กติกแล้วมันเป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมาเลย ผมละสายตาจากมันไม่ได้เลย"
"การขึ้นเกมของ ไบรท์ตันฯ วิธีที่พวกเขาใช้รับมือกับ ซิตี้ และวิธีที่ ซิตี้ ตอบโต้กลับไปทำให้เกมมันเปิดกว้าง มันเป็นเกมที่เต็มไปด้วยแท็กติกและผมก็หลงใหลไปกับมัน มันเป็นเกมในฝันสำหรับคนที่ชื่นชอบฟุตบอล"
"ผมชอบดูเกมของ ซิตี้ เควิน เดอ บรอยน์ ถือเป็นนักเตะของลีกนี้ที่ผมชอบดูฟอร์มมากที่สุด ผมชอบดูเกมของ ลิโอเนล เมสซี่ อยู่เสมอเช่นกัน ผมเติบโตมาโดยที่ได้ดู บาร์เซโลน่า ยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลยทำให้ช่วงนั้นผมเลยมีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมและได้ดูนักเตะเก่ง ๆ หลายคน"
"สิ่งที่สำคัญที่สุดในระบบที่เราใช้ช่วงปลายฤดูกาลก่อนและการเล่นในตอนนี้คือคุณต้องกดดันทีมอื่นให้ได้ ถ้าคุณเอาแต่ผ่านบอลแบบไร้จุดหมายคุณก็จะไม่มีทางสร้างความกดดันให้กับใครได้"
"คุณต้องหลอกล่ออีกฝ่ายให้ได้ ต้องมีทางเลือกหลายทางเพื่อให้นักเตะทะลุไปยังจุดต่อไปได้ นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในระบบเหล่านั้น"
"มันเหมือนกับทีมของ กวาร์ดิโอล่า นั่นแหละ หลายคนมองว่า ซิตี้ เป็นทีมที่บีบกดดันคู่แข่งได้ดีจนอีกฝ่ายหมดแรงไปเองแล้วส่งผลให้ ซิตี้ ทำประตูได้ แต่ที่จริงแล้วพวกเขาใช้การครองบอลหลอกล่อคุณ"
"ลองดู แบร์นาร์โด้ ซิลวา เป็นตัวอย่างก็ได้ เขาจะเก็บบอลเอาไว้กับตัว ล่อคู่แข่งมา 2 หรือ 3 คนจากนั้นก็แทงบอลไปให้ เดอ บรอยน์ ซึ่งหลังจากนั้น เดอ บรอยน์ ก็จะครอสบอลเข้าไปที่เสาไกล แล้วก็ตู้ม!! เป็นประตู ในแต่ละฤดูกาลพวกเขาทำประตูจากการเล่นแบบนั้นได้ 20 หรือ 25 ลูก ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้เพราะมันมีประสิทธิภาพมาก ๆ"
.
.
.
จากบทบาทบนสนามกับคู่หูวิงแบ็กซ้าย-ขวา แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ที่เปรียบเสมือนแบ็กเพลย์เมคเกอร์ แต่มาตอนนี้ เทรนท์ ปรับโฉมตัวเองใหม่กับการยืนที่สูงขึ้นในฐานะอินเวิร์ต ฟูลแบ็ก
"ผมสนุกกับบทบาทนี้" เทรนท์ กล่าว
"มันไม่ใช่ว่าผมยึดติดอยู่กับการเป็นแบ็กขวา ผมรู้สึกว่าตัวเองได้รับอิสระที่ต้องการสำหรับการขึ้นเกมและเล่นแบบเป็นตัวของตัวเองได้, สร้างโอกาสได้ และช่วยให้ทีมชนะได้"
"ผมคงต้องบอกว่าการได้เล่นตรงกลางมากกว่าเดิมมันเป็นการช่วยเปิดโลกให้ผมได้เจอกับตำแหน่งที่ผมเล่นแบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอนนี้ผมมีทางเลือกในการสร้างโอกาสการเล่นมากกว่าเดิม มันเป็นพื้นที่ที่ผมสามารถสร้างโอกาสได้จากการเปลี่ยนบทบาทของตัวเอง"
หนึ่งในผู้เล่นกองหลังที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกับหน้าที่นี้คือ จอห์น สโตนส์ ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โมดิฟายจนแทบจะยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับคู่กับ โรดรี้ ไปแล้ว
"ผมดูและศึกษาการเล่นของ จอห์น สโตนส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ผมเริ่มเปลี่ยนตำแหน่ง"
"ผมชอบที่จะเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น การได้เรียนรู้บทบาทใหม่ๆ, ตำแหน่งใหม่ๆ, รายละเอียดใหม่ๆ, ได้ตั้งคำถาม, ได้รู้คำตอบ และดูว่าต้องทำอะไรหรือทำยังไงมันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก ๆ"
"การได้เห็นเขาทำผลงานได้ดีเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผมเรียนรู้กับการปรับบทบาทของตัวเอง เขาเล่นได้ยอดเยี่ยม"
"สิ่งที่ผมต้องทำในสนามคือการสร้าง"
"ไม่ใช่แค่สร้างโอกาสการทำประตูหรือการทำแอสซิสต์หรอกนะ แต่รวมถึงการสร้างพื้นที่ว่างและโอกาสต่างๆ, มุมการเล่น, การขึ้นเกมจากแดนหลังด้วย"
"ทักษะที่ดีที่สุดของผมคือการสร้างจังหวะการเล่นด้วยการครอสบอลจากด้านข้าง ผมทำแบบนั้นมาโดยตลอด มันเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของผม"
ฤดูกาลใหม่ของ ลิเวอร์พูล จะเปิดฉากทางการคืนวันอาทิตย์นี้ หวังว่า เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้
เรียงเรียงจาก เดลี่ เมล
HOSSALONSO