ฟุตบอลไม่ได้เล่นกันแค่ 90 นาที ฉะนั้นนักเตะทุกคนต้องมีสมาธิตั้งแต่เสียงนกหวีดแรกของผู้ตัดสินเป่าจนกระทั่งเสียงนกหวีดยาวสุดท้ายสิ้นสุดลง ถึงจะวางใจได้ว่าพวกเขาคว้าชัยชนะในเกมๆ นั้น ยิ่งในปัจจุบันเกมลูกหนังมีการทดเวลาแบบใหม่ ยิ่งทำให้การแข่งขันยาวนานขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
กฎการทดเวลาบาดเจ็บแบบใหม่เพิ่งจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะแมตช์นั้นมีการทดเวลา 8 นาที แต่มีการทดเพิ่มไปอีก 3 นาทีจากเหตุนักเตะได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่ อาร์เซน่อล จะได้ประตูตีเสมอช่วงนาที 90+11 จบเกมสกอร์ 1-1 และต้องดวลจุดโทษหาแชมป์ โดยเป็น "ไอ้ปืนใหญ่" ที่แม่นกว่าจึงคว้าโล่การกุศลไปประดับถิ่นเอมิเรสต์ สเตเดี้ยม
อย่างไรก็ตามการยิงประตูนาทีบาปมักจะมีให้เห็นมาแล้วหลายครั้ง บางครั้งส่งผลให้สถานการณ์ของทีมจากที่จะแพ้กลายเป็นคว้าชัยชนะได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ฉะนั้นในฤดูกาล 2023/2024 คอลูกหนังมีโอกาสที่จะได้เห็นประตูมากมายในช่วงทดเวลาบาดเจ็บแน่นอน
1. สตีฟ บรูซ (แมนฯ ยูฯ พบ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ปี 1993)
สำหรับแมตช์นี้ถือว่าเป็นเกมที่สาวก "เร้ด อาร์มี่" จดจำไม่มีวันลืม เนื่องจากมันเป็นแมตช์ที่ทำให้การรอคอยที่แสนยาวนานกว่า 26 ปีในการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีสิ้นสุดลง และต้องขอบคุณ สตีฟ บรูซ ที่ทำให้ฝันของพวกเขาเป็นจริงซะที
เกมนั้น "ปีศาจแดง" เปิดรังโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ตอนรับการมาเยือน เชฟฯ เว้นส์ฯ และพวกเขาตามหลัง "นกเค้าแมว" 0-1 โดยในช่วง 10 นาทีสุดท้าย แมนฯ ยูฯ เดินหน้าเต็มสูบเพื่อหวังยิงประตูให้ได้ก่อนที่ บรูซ จะโหม่งตีเสมอ ในนาทีที่ 86
ดูเหมือนเกมจะจบด้วยการแบ่งแต้มแต่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ บรูซคนดีคนเดิม จัดการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย และนั่นนำไปสู่การคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกในรอบ 26 ปี ก่อนที่พวกเขาจะครองความยิ่งใหญ่ตลอดช่วงยุค 90 ยาวไปถึงกลางยุค 2000
2. สแตม คอลลีมอร์ (ลิเวอร์พูล พบ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ปี 1996)
คนที่คอบอลพรีเมียร์ลีก คงจำภาพที่ เควิน คีแกน ก้มหน้าฟุบอยู่ที่ซุ้มม้านั่งสำรอง หลังเห็น สแตน "เดอะ แมน" คอลลีมอร์ ซัดประตูในนาทีที 90+1 ส่งให้ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากในการลุ้นแชมป์ลีกครั้งแรกของพวกเขา
ตอนนั้น "สาลิกาดง" กำลังขับเคี่ยวกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างเข้มข้น และพวกเขาต้องพบกับคู่แข่งสำคัญนั่นก็คือ "หงส์แดง" ซึ่งจำเป็นต้องคว้าชัยชนะให้ได้เพื่อทำแต้มหนี "ปีศาจแดง"
แมตช์ดังกล่าวได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเกมสุดคลาสสิค โดยสกอร์เสมอกัน 3-3 และดูเหมือนจะจบลงด้วยการแบ่งแต้ม แต่สุดท้าย "เดอะ เร้ดส์" มาซัดประตูชัยในช่วงทดเจ็บจาก คอลลีมอร์ ทำให้ทีมคว้าสามแต้ม และนี่คือหนึ่งในเกมที่ทำให้ นิวคาสเซิ่ล ต้องชวดแชมป์อย่างน่าเจ็บปวด
3. อลิสซง เบ็คเกอร์ (ลิเวอร์พูล พบ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ปี 2021)
แม้ว่าแมตช์นี้จะไม่ได้มีผลต่อการลุ้นแชมป์ แต่มันน่าสนใจตรงที่ผู้รักษาประตูเป็นคนทำประตู และยังทำให้ ลิเวอร์พูล ติดท็อปโฟร์ได้ตั๋วไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วย ต้องบอกเลยว่านี่คือการทำประตูช่วงทดเจ็บที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
อลีสซง เบ็คเกอร์ ได้ชื่อว่าเป็นโกลที่ใช้เท้าและมือได้เก่งแล้ว แต่เขายังใช้ศีรษะทำประตูได้ด้วย โดยตอนนั้นผลการแข่งขันเสมอกันอยู่ 1-1 และถ้า ลิเวอร์พูล เอาชนะไม่ได้ มันอาจส่งผลให้ทีมชวดโควตาไปลุยถ้วยใบโตยุโรปเลยทีเดียว
ตอนนั้นเวลา 90+5 ซึ่งเป็นช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้าย โดยทีมได้จังหวะเตะมุม และ นายทวารชาวบราซิเลียน ต้องเสี่ยงขึ้นมาช่วยทีม งานนี้เขาตัดสินใจถูกเพราะ อลีสซง จัดการโขกประตูชัยให้กับทีมคว้าชัยชนะได้อย่างน่าเหลือเชื่อ พร้อมรับรางวัลเป็นตั๋วไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ
4. สตีเว่น เจอร์ราร์ด (ลิเวอร์พูล พบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ปี 2006)
เจอร์ราร์ด สวมบทฮีโร่ของทีมอีกครั้ง เมื่อเขาใช้โอกาสสุดท้ายของเกมส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้สำเร็จในรอบชิงชนะเลิศ ศึกเอฟเอ คัพ ปี 2006 ซึ่งจังหวะนั้นสาวก "เดอะ ค็อป" เชื่อว่าเป็นการซัดแบบเต็มกำลังเฮือกสุดท้ายของ "สตีวี่จี"
ช่วงเวลานั้น ลิเวอร์พูล ตามหลัง เวสต์แฮม 2-3 และเกมผ่าน 90 นาทีไปแล้ว โดยท่านเปาตัดสินใจทดเวลาบาดเจ็บไม่นานัก แต่มันเป็นโอกาสทองของทีมที่สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้ เนื่องจาก เจอร์ราร์ด ตะบันไกลเต็มแรงเกิดส่งบอลเข้าประตูในนาทีที่ 90+1 ทำให้เสมอกัน 3-3 และต้องต่อเวลาพิเศษ
หลังครบ 120 นาทีผลการแข่งขันยังเท่าเดิม สุดท้ายก็ต้องตัดสินหาแชมป์ด้วยการดวลจุดโทษ และเป็น "เดอะ เร้ดส์" ที่ใจแข็งแกร่งสามารถเอาชนะ "ขุนค้อน" ไปได้อย่างสุดยอด
5. เซร์คิโอ อเกวโร่ (แมนฯ ซิตี้ พบ ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส ปี 2012)
ยุคแห่งความยิ่งใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เริ่มต้นจากจังหวะการซัดประตูของ เซร์คิโอ อเกวโร่ เพราะการตะบันในจังหวะนั้นนอกจากจะช่วยทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก สมัยแรกของสโมสรแล้ว ยังทำให้ทีมก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่คับเกาะอังกฤษ และถูกยกให้เป็นเบอร์ 1 แห่งเมืองแมนเชสเตอร์
สถานการณ์ของ "เรือใบสีฟ้า" ล่อแล่ที่จะชวดแชมป์เนื่องจากทีมตามหลัง "คิวพีอาร์" 1-2 ก่อนที่ เอดิน เชโก้ จะทำประตูตีเสมอในนาทีที่ 90+2 ซึ่งมันไม่เพียงพอที่จะได้แชมป์ เนื่องจาก แมนฯ ยูฯ ชนะ ซันเดอร์แลนด์ 1-0
จนกระทั่งนาทีที่ 90+4 ซึ่งเป็นช่วงทดเจ็บวินาทีสุดท้าย อเกวโร่ มีโอกาสหลุดเข้าไปซัดประตูประวัติศาสตร์ช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ คว่ำ "คิวพีอาร์" 3-2 และผงาดคว้าแชมป์ลีกด้วยการมี 86 แต้มเท่ากับ "ปีศาจแดง" แต่ผลต่างประตูได้เสียเหนือกว่า
6. โอเล่ กุนนาร์ โซลชา (แมนฯยูฯ พบ บาเยิร์น มิวนิค ปี 1999)
หนึ่งในสุดยอดการยิงประตูนาทีบาปของโลกลูกหนังต้องยกเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปะทะ บาเยิร์น มิวนิค ที่สนามคัมป์ นู ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะมันคือเกมที่โทรฟี่แชมป์หลุดจากมือ "เสือใต้" ในช่วงเวลาแค่ 2 นาทีเท่านั้น
บาเยิร์น กำชัยชนะเอาไว้ในมือหลังจากที่ได้ประตูนำ 1-0 ตั้งแต่ครึ่งแรก แถมพวกเขายังมีโอกาสเพิ่มสกอร์หลายครั้ง แต่ทำไม่สำเร็จ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 90+1 เท็ดดี้ เชอริงแฮม จะสร้างความหวังให้เหล่าแฟนผีโปรเจกต์ด้วยการซัดประตูตีเสมอ
จากนั้นในนาทีที่ 90+3 โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สวมบทซูเปอร์ซับหมายเลข 1 ของโลก ด้วยการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย และทำให้ แมนฯ ยูฯ คว้าแชมป์พลิกนรกคว้าแชมป์หน้าตาเฉย แถมยังสร้างประวัติศาสตร์คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ทีมแรกของอังกฤษด้วย
ทอมเม้ง