ลิเวอร์พูล กลับมาลงเล่นในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อีกครั้ง หลังจากที่พวกเขาพักไปนานเกือบเดือน โดยงานนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ติวเข้มลูกทีมอย่างหนักในแมตช์รับมือ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคมนี้ ที่สำคัญ "หงส์แดง" ได้ขุมกำลังกลับมาเกือบฟูลทีม แต่ก็มีผู้เล่นบางคนที่โดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน สำหรับทีมเยือนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อทีมแต่งตั้ง โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ เข้ามาคุมทัพแทน แกรม พ็อตเตอร์ ฉะนั้นเจ้าบ้านต้องระวังให้ดีเพราะทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนกุนซือมักจะมีพลังแฝงพิเศษอยู่เสมอ
1. แนวรุกฟอร์มแรงช่วงฟีฟ่า เดย์, เกมลีกพักนานไปหน่อย
ตอนนี้ดูเหมือนแนวรุกของ ลิเวอร์พูล กำลังกลับมาทำผลงานได้ดีเยี่ยม หลังจากเดินทางไปเรียกความมั่นใจในการเล่นให้กับบ้านเกิดช่วงพักเบรกทีมชาติ โดยทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, หลุยส์ ดิอาซ, ดีโอโก้ โชต้า และ ดาร์วิน นูนเญซ ต่างโชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจมากๆ ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
การที่ทั้งสี่คนเล่นได้ดีให้กับประเทศของพวกเขายิ่งเป็นการเรียกความเชื่อมั่นกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะในรายของ นูนเญซ ซึ่งที่ผ่านมาโดนวิจารณ์อย่างหนักเรื่องฟอร์มการเล่นกับ "หงส์แดง" แต่การที่เขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่นให้กับ อุรุกวัย น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับเจ้าตัวในเรื่องความมั่นใจเมื่อการกลับมาช่วยทีมดวล ไบรท์ตัน วันเสาร์นี้
อีกประเด็นที่น่าสนใจสำหรับแมตช์นี้ก็คือ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีกนานถึง 28 วัน ขณะที่ ไบรท์ตัน ก็ไม่แตกต่างกันเพราะพวกเขาไม่ได้ลงสนามในเกมลีกถึง 27 วันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม แมตช์ล่าสุดของ "หงส์แดง" ก็คือเกมเฉือน อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทำให้อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ไม่ได้ร้างสนามไปนาน ก็แค่ 18 วันเท่านั้น ! การไม่ได้ลงเล่นแบบนี้ข้อดีก็คือนักเตะได้พักฟื้นร่างกาย แต่ข้อเสียร่างกายอาจจะมีอาการเฉื่อยชาไม่กระตือรือร้นก็ได้
2. บอลเปลี่ยนกุนซือระวังให้ดี
หลายครั้งที่เวลาสโมสรไหนก็ตามเปลี่ยนผู้จัดการทีม แมตช์ต่อไปพวกเขามักจะทำผลงานได้ดีเสมอ แต่เดชะบุญของ ลิเวอร์พูล เพราะ ไบรท์ตัน แต่งตั้ง โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ เข้ามาแทน แกรม พ็อตเตอร์ ในช่วงพักเบรกทีมชาติพอดีทำให้ความกระหายของนักเตะที่อยากมุ่งมั่นเพื่อกุนซือใหม่ค่อนข้างจะเบาบางลงไปบ้าง
สำหรับ เด แซร์บี้ ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากๆ เนื่องจากหลายๆ คนก็ไม่ค่อยรู้จักประวัติของนายใหญ่ชาวอิตาเลียนมากนัก ผลงานการคุมทีมก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรแต่ก็เคยทำงานให้กับ ชัคห์ตาร์ โดเน็ตส์ค และ ซาสซูโอโล่ กระนั้นถ้าไม่มีดี ไบรท์ตัน คงไม่เลือกให้เข้ามาทำงานแทน พ็อตเตอร์ ซึ่งย้ายไปทำหน้าที่กุมบังเหียน เชลซี
ในส่วนของสไตล์การคุมทัพของ กุนซือวัย 43 ปีต้องบอกเลยว่าไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่ พ็อตเตอร์ ปลูกฝังเอาไว้กับทัพ "เดอะ ซีกัลล์ส" แต่แท็กติกที่ เด แซร์บี้ จะเน้นเป็นพิเศษก็คือการ "คุมเกม" เป็นหลัก
งานนี้บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ คล็อปป์ แอนด์ โค. เพราะมันเป็นการดวลกันครั้งแรกระหว่างสองกุนซือ ฉะนั้น นายใหญ่ชาวเยอรมัน จะต้องวิเคราะห์แนวทางการทำทีมของ เด แซร์บี้ อย่างละเอียด
กระนั้นมีสิ่งหนึ่งที่ นายใหญ่เลือดมะกะโรนี ต้องจำเอาไว้ว่านี่เป็นเกมแรกของเขาในการคุมไบรท์ตัน โดยก่อนหน้ามีผู้จัดการทีม 5 คนของพวกเขาลงทำหน้าที่กุมบังเหียนแมตช์แรกที่แอนฟิลด์แต่บทสรุปก็คือแพ้เรียบวุธ !!
3. ซาลาห์ ลุ้นทำสถิติแซงหน้า เจอร์ราร์ด
ถ้าหาก ซาลาห์ สามารถยิงประตูใส่ ไบรท์ตัน ได้ นั่นจะทำให้เขาก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับ 8 ดาวซัลโวในลีกตลอดกาลของสโมสร แซงหน้า แซม เรย์บาวด์ และตามหลัง แจ็ค พาร์กินสัน แค่สองประตูเท่านั้น
ดาวเตะเจ้าของเสื้อหมายเลข 11 ตะบันประตูในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีไปแล้ว 120 ประตูให้กับ ลิเวอร์พูล และถ้าเขายิงได้อย่างน้อย 1 ประตูในการดวลกับทัพ "นกนางนวล" วันเสาร์นี้จะทำให้ "บังโม" แซงหน้า เซอร์ เคนนี่ ดัลกลิช ในฐานะนักเตะที่ยิงใส่ ไบรท์ตัน มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม สตาร์ลูกหนังชาวอียิปต์ มีปัญหาเรื่องฟอร์มการยิงประตูพอสมควรในฤดูกาลนี้ เพราะประตูล่าสุดที่เจ้าตัวยิงได้ในเกมพรีเมียร์ลีกเกิดขึ้นในเกม "แดงเดือด" ที่บุกแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
กระนั้น อดีตดาวเตะ โรม่า และ เชลซี มักจะทำผลงานได้ดีเวลาที่พบกับ ไบรท์ตัน เพราะเขามีชื่อทำสกอร์ใส่ทีมเยือนไปแล้วถึง 6 ประตู พร้อมกับ 5 แอสซิสต์จากการเล่นเกมลีก 10 แมตช์หลังสุด
4. พักเบรกทีมชาติมีทั้งข่าวดีและร้าย
ลิเวอร์พูล เจอกับปัญหาเรื่องนักเตะบาดเจ็บมาตั้งแต่ต้นฤดูกาล โดยตอนนี้พวกเขายังคงต้องพบกับวิบากกรรมในเรื่องนี้ไม่หยุดในช่วงพักเบรกทีมชาติ เพราะ "หงส์แดง" จะไม่มี แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, เคอร์ติส โจนส์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, คาลวิน แรมซี่ย์ และ นาบี เกอิต้า ในเกมรับมือ ไบรท์ตัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" ยังยิ้มได้ก็คือพวกเขาน่าจะได้เห็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กลับมาลงบัญชาเกมในแดนกลาง หลังจากนักเตะมีสภาพร่างกายฟิตสมบูรณ์ และได้ลงเล่นให้ อังกฤษ ในช่วง "ฟีฟ่า เดย์" ไปแล้ว
อีกเรื่องที่น่ายินดีก็คือ อิบราฮิม่า โกนาเต้ เซนเตอร์แบ็กร่างใหญ่ชาวฝรั่งเศส ลงซ้อมได้แล้ว หลังจากที่เจ้าตัวยังไม่ได้ลงเล่นเลยในฤดูกาลนี้ แต่คาดว่ายังคงไม่สามารถลงสนามได้ทันที กระนั้นแค่ได้รู้ว่านักเตะกลับมาได้แล้ว นั่นทำให้ คล็อปป์ จะมีตัวเลือกมากขึ้นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก
ขณะที่แนวรุกก็อย่างที่บอกเอาไว้ทั้ง ซาลาห์, ดิอาซ, นูนเญซ และ โชต้า สภาพร่างกายพร้อมเต็มที่สำหรับแมตช์นี้ นอกจากนี้พวกเขายังมี โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เป็นออปชั่นเสริมในการสร้างความแตกต่างในแดนหน้าด้วย
5. ลุ้นขยายสถิติไร้พ่ายในแอนฟิลด์ต่อไป
"เดอะ เร้ดส์" มักจะทำผลงานในเกมลีกได้ดีเยี่ยมเมื่อลงเล่นที่แอนฟิลด์ โดยพวกเขาสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นมานานถึง 26 แมตช์เข้าไปแล้ว ซึ่งคว้าชัยชนะได้ถึง 20 เกม และยังเก็บคลีนชีตได้ 15 แมตช์ด้วย
แม้ว่าฟอร์มของ ลิเวอร์พูล อาจจะกระท่อนกระแท่นไปบ้างในช่วงต้นซีซั่นนี้ แต่ทุกครั้งที่พวกเขาลงเล่นในบ้านตัวเองมักจะมีพลังแฝงที่ทำให้ทีมรอดจากหายนะมาได้หลายต่อหลายครั้งในลีก
สำหรับ ไบรท์ตัน แล้วการพบกับ ลิเวอร์พูล เป็นอะไรที่หลอนสุดๆ เพราะพวกเขามักจะทำผลงานได้ดีไม่ดีเมื่อเจอ "หงส์แดง" โดย "เดอะ ซีกัลล์ส" เอาชนะเจ้าบ้านในเกมลีกที่แอนฟิลด์ได้เพียงแค่แมตช์เดียวเท่านั้นโดยเกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
กระนั้นสิ่งที่น่าจะทำให้ ไบรทตัน ฮึกเหิมก็คืออันดับในตารางลีกที่อยู่เหนือกว่า "หงส์แดง" เพราะครั้งล่าสุดที่ "นกนางนวล" ลงเล่นเกมลีกสูงสุดพบ ลิเวอร์พูล พร้อมกับมีตำแหน่งอยู่สูงกว่าพวกเขาก็ต้องย้อนไปเมื่อเดือนตุลาคมปี 1981 เลยทีเดียว
ทอมเม้ง