อาร์เซน่อล แสดงให้เห็นหัวใจแห่งความมุ่งมั่นหลังสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมชิงโล่การกุศล คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่สนามเวมบลีย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา
ทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจาก โคล พาลเมอร์ ซึ่งลงเป็นตัวสำรองแทน เออร์ลิง ฮาลันด์ นาทีที่ 77 และดูเหมือนพวกเขากำลังจะชนะ แต่แล้ว เลอันโดร ทรอสซาร์ ซัดบอลแฉลบผู้เล่น "เรือใบสีฟ้า" เข้าประตูในช่วงทดเจ็บ จบเกมเสมอกัน 1-1
ส่งผลให้ต้องฏีกาเพื่อหาผู้ชนะ โดยเจ้าของทริปเบิ้ลแชมป์เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ยิงพลาด 2 คน ขณะที่ อาร์เซน่อล ไม่พลาดเลย ทำให้ "ไอ้ปืนใหญ่" ชนะการดวลจุดโทษด้วยสกอร์ 4-1 คว้าโทรฟี่แรกก่อนเปิดฤดูกาล 2023/2024
แน่นอนว่าการคว้าแชมป์รายการนี้คงจะช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้กับ อาร์เซน่อล ในการกลับมาทวงความสำเร็จหลังต้องผิดหวังเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ คงจะต้องไปปรับแก้บางจุดที่มีปัญหาเพื่อป้องกันแชมป์ลีกให้ได้
1. ฮาแวร์ตซ์ ไม่เหมาะตำแหน่งหน้าเป้า
อาร์เซน่อล ยอมควักกระเป๋าถึง 65 ล้านปอนด์ (ราว 2,730 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัว ไค ฮาแวร์ตซ์ มาจาก เชลซี ซึ่งนั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเชื่อมั่นในศักยภาพของดาวเตะชาวเยอรมันแม้บางครั้งเจ้าตัวจะไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นได้คงเส้นคงวาก็ตาม
ไม่มีใครสงสัยเรื่องพรสวรรค์และศักยภาพของ ฮาแวร์ตซ์ แต่กระนั้นก็บางเรื่องที่ยังไม่ค่อยน่าไว้วางใจนั่นก็คือความสามารถในการจบสกอร์ เพราะนักเตะแสดงให้เห็นมาหลายครั้งที่ยิงประตูไม่เฉียบคม
ดาวเตะเลือดด๊อยท์ช ซัดไปแค่ 32 ประตูจากการเล่น 139 เกมให้กับทัพ "สิงโตน้ำเงินคราม" และบ่อยครั้งก็มักจะพลาดโอกาสสำคัญๆ ซะด้วย ขณะที่ช่วงปรีซีซั่นกับการเล่นให้ อาร์เซน่อล เขาก็ไม่มีความเฉียบคมในการจบสกอร์
การที่ ฮาแวร์ตซ์ ต้องมาสวมบทผู้เล่นเบอร์ 9 หรือ "หน้าเป้า" แทน กาเบรียล เชซุส ที่มีปัญหาบาดเจ็บ ในแมตช์กับ แมนฯ ซิตี้ ถือว่าผลงานยังไม่ได้มาตรฐานโดยเฉพาะการพลาดโอกาสทองถึง 2 ครั้งในครึ่งแรก
อย่างไรก็ตาม ฮาแวร์ตซ์ ก็มีจุดเด่นเช่นกัน เพราะเขาสามารถครองบอลได้เหนียวแน่น แถมยังมีความสุข และความแข็งแกร่ง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เหนือกว่า เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ และ เลอันโดร ทรอสซาร์
2. เพชฌฆาตต้องรีบคืนฟอร์ม
แนวรับคู่แข่งคงรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อได้ยินชื่อ เออร์ลิง ฮาลันด์ ลงสนาม เพราะนักเตะได้ชื่อว่าเป็นเพชฌฆาตจอมสังหารประตู และสามารถตะบันได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเท้าซ้าย, ขวา และศีรษะ
อย่างไรก็ตามในช่วงซัมเมอร์นี้ กองหน้าทีมชาตินอร์เวย์ ยังไม่สามารถทำประตูได้เลยจากการลงเล่นให้กับ "เรือใบสีฟ้า" 6 เกมที่ผ่านมา ซึ่งนั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่านักเตะเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน
สวนทางกับผลงานของนักเตะเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ที่ซัดในเกมพรีเมียร์ลีกไปถึง 36 ประตูคว้ารางวัลรองเท้าทองคำมาครอบครอง แถมยิงรวม 52 ประตูจากการเล่นทุกรายการ 54 แมตช์
กระนั้น ฮาลันด์ ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลยนั่นเป็นเพราะเขาโดน วิลเลี่ยม ซาลิบา จัดการปะกบติดจนอยู่หมัด โดยนักเตะมีโอกาสได้สัมผัสบอลแค่ 13 ครั้ง และไม่มีโอกาสได้ยิงประตู หรือส่งบอลสำเร็จเลย สุดท้าย เป๊ป ต้องเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 64 และส่ง โคล พาลเมอร์ ลงมาแทน
แม้หลายคนมองว่านี่เป็นเพียงแค่การเล่นโล่การกุศลเท่านั้น แต่ถ้ามองจากความเป็นจริง ฮาลันด์ จำเป็นต้องรีบปรับจูนฟอร์มของตัวเองโดยด่วน ไม่อย่างนั้นคงโดนคู่แข่งจับทางได้
3. พาลเมอร์ อนาคตสดใส
หลังจากที่ช่วย อังกฤษ คว้าแชมป์ยูโร รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปีช่วงซัมเมอร์นี้ โคล พาลเมอร์ ก็กำลังพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้เขามีโอกาสที่จะได้เจิดจรัสกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้ว
กวาร์ดิโอล่า พยายามที่จะเจียระไนเพชรเม็ดงามรายนี้มานานพอสมควร และตอนนี้ความมุ่งมั่นของเขาก็ประสบความสำเร็จ เมื่อเห็น พาลเมอร์ โชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจในเกมกับ อาร์เซน่อล
พาลเมอร์ ถูกส่งลงมาเล่นแทน ฮาลันด์ หลังเกมผ่านไป 1 ชั่วโมงกว่าๆ และเจ้าตัวก็ตอบแทนความไว้วางใจของ นายใหญ่ชาวสแปนิช ด้วยการซัดประตูสุดงามส่งให้ "เรือใบสีฟ้า" ขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 77
จังหวะการยิงประตูของ พาลเมอร์ คงทำให้แฟนบอลแมนฯ ซิตี้ หวนนึกถึงลีลาของ ริยาด มาห์เรซ ซึ่งย้ายไปเล่นกับ อัล-อาห์ลี ช่วงซัมเมอร์นี้ และคาดหว่า เป๊ป อาจจะใช้งานเขาเพื่อทดแทนการขาดหายไปของ สตาร์ชาวแอลจีเรีย ซึ่งนั่นจะเป็นการช่วยเซฟเงิน "เรือใบสีฟ้า" ได้เลยทีเดียว
4. กฎใหม่มาแล้ว
ทุกทีมไม่สามารถพูดได้ว่าไม่ได้รับการเตือน เพราะก่อนที่ฤดูกาลใหม่จะเปิดฉากอย่างเป็นทางการ ทุกสโมสรได้รับการแจ้งเกี่ยวกับเรื่องกฎใหม่ที่ผู้ตัดสินใจจะนำมาใช้ สำหรับใครก็ตามที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ จงพิจารณาเกมครึ่งแรกในศึกชิงโล่การกุศลมันจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างให้กระจ่างชัดทันที
สำหรับกฎใหม่ต้องบอกเลยว่าเข้มงวดมากๆ โดย สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ต้องการให้เกมมีความยุติธรรมที่สุด สำหรับหนึ่งในกฎเหล็กนั่นก็คือนักเตะทุกคนมีสิทธิ์ถูกลงโทษทุกครั้งที่เตะบอลทิ้งหลังทำฟาวล์
โธมัส ปาร์เตย์ และ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ โดนลงทัณฑ์จาก สจ๊วร์ต แอตเวลล์ ผู้ตัดสิน ที่จัดการควักใบเหลืองเพื่อตักเตือนทั้งสองคน จากการแสดงพฤติกรรมดังกล่าวในช่วงครึ่งแรก
ยังไม่หมดแค่นั้น มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีมคนหนุ่มไฟแรง ก็โดนใบเหลืองอีกรายหลังจากที่วิ่งตรงปรีไปหาผู้ตัดสินที่ 4 เนื่องจากไม่พอใจหลัง โรดรี้ ทำฟาวล์ ฮาแวร์ตซ์ บริเวณกลางสนาม
ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเพียงแค่น้ำจิ้มเท่านั้น เพราะในฤดูกาลใหม่ถ้านักเตะหรือผู้จัดการทีมไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้ งานนี้บอกเลยว่าคงได้เห็นใบเหลืองใบแดงปลิวว่อนแหงๆ
5. อาร์เซน่อล จะไปถึงฝันแชมป์ลีกได้ไหม
นับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งพรีเมียร์ลีกขึ้นมากว่า 30 ปีมีเพียงแค่ 8 ครั้งในหน้าประวัติศาสตร์ที่แชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ สามารถผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีในฤดูกาลนั้นได้
ไม่รู้ว่าเป็นอาถรรพ์หรือเปล่าเพราะส่วนใหญ่แล้วทีมได้ครองโล่การกุศล มักจะจบเห่ในการลุ้นแชมป์ลีกเป็นส่วนใหญ่ อย่างล่าสุด ลิเวอร์พูล ที่คว้าแชมป์รายการนี้เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา แต่สุดท้ายพวกเขาล่องจุ๊นพังไม่เป็นท่าหลังจบซีซั่น
งานนี้สาวก "เดอะ กันเนอร์ส" คงต้องทั้งสวดภาวนา และอธิษฐานให้จงหนักว่า อาร์เซน่อล ทีมรักจะสามารถทำลายอาถรรพ์นี้ให้ได้ เพราะหากไม่สำเร็จพวกเขาคงเจ็บปวดเหมือนกับซีซั่นที่ผ่านมาที่โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปาดหน้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
ทำเนียแชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อจบฤดูกาล
1993/1994 - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
1996/1997 - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
2005/2006 - เชลซี
2007/2008 - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
2008/2009 - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
2009/2010 - เชลซี
2010/2011 - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
2018/2019 - แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ทอมเม้ง