ลิเวอร์พูล เปิดฉากช่วงอุ่นเครื่องปรีซีซั่นสำหรับฤดูกาล 2023/2024 ด้วยการทุบ คาร์ลสรูห์ 4-2 ที่ประเทศเยอรมนี เมื่อวันพุธที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสกอร์ที่เห็นอาจจะดูสวยหรู แต่รูปเกมยังคงค่อนข้างน่าอึดอัด
เจอร์เก้น คล็อปป์ ตัดสินใจส่ง 11 ตัวจริงครึ่งแรกค่อนข้างจะฟูลทีม โดยผลงานค่อนข้างน่าประทับใจ ส่วนครึ่งหลัง นายใหญ่ชาวเยอรมัน เปลี่ยนทีมยกชุด ผลงานก็ยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง นั่นทำให้ทีมจำเป็นต้องใช้เวลาปรับตัวอีกซักพัก
เรื่องดีสำหรับแมตช์นี้ก็คือแนวรุกโชว์ฟอร์มได้ดีทั้ง ดาร์วิน นูนเญซ, โคดี้ กัคโป และ ดีโอโก้ โชต้า สามารถทำประตูได้ ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงโดดเด่น ส่วน หลุยส์ ดิอาซ อาจจะต้องให้เวลาอีกหน่อย หลังนักเตะเพิ่งจะสมบูรณ์ได้ไม่นานนัก
ขณะที่แดนกลางทั้ง โดมินิค โซโบซไล และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ซึ่งลงสนามคนละครึ่ง สามารถปรับตัวได้ดีเยี่ยม ด้าน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มีแววจะได้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ถาวรแน่ๆ
1. เทรนต์ พยายามสวมบทโฮลดิ้ง มิดฟิลด์
สาวก "เดอ ค็อป" คาดหวังว่า 11 ตัวจริงที่ คล็อปป์ จัดลงสนามในแมตช์นี้ ดูเหมือนอาจจะเป็นผู้เล่นชุดที่เขาจะนำไปใช้สำหรับการลงไล่ล่าความสำเร็จในฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะเปิดฉากเร็วๆ นี้
กุนซือชาวด๊อยท์ช จะเลือกยึดติดกับระบบการเล่นที่ทำให้ "หนุ่มเทรนต์" สามารถสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาฟอร์มการเล่น ? หรือจะเลือกลองแท็คติกใหม่ๆ สำหรับเกมอุ่นเครื่องแมตช์นี้
น่าเสียดายจริงๆ ที่บทบาทใหม่สำหรับ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ดูเหมือนว่าเขายังไม่พร้อมกับการเล่นแบบนี้ และนักเตะน่าจะพัฒนาศักยภาพได้ดีกับการเล่นแบบ "อินเวิร์ต ฟูลแบ็ก" มากกว่าโฮลดิ้ง มิดฟิลด์ สำหรับเกมอุ่นเครื่องแมตช์แรก
มันอาจจะยังไม่ค่อยดีนักถ้า ดาวเตะเลือดผู้ดี วัย 24 ปีใช้เวลาในการอ่านเกมนานเกินไปเพื่อตัดสินใจบางอย่าง เนื่องจากเขาไม่มีผู้เล่นอย่าง ฟาบินโญ่ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คอยช่วยเหลือ
2. นูนเญซ เริ่มต้นสวยตำแหน่งหน้าเป้า
หลังจากที่ต้องพบกับช่วงเวลาทั้งดีและแย่ในฤดูกาลแรกที่ค้าแข้งกับ "เดอะ เร้ดส์" ส่งผลให้ ดาร์วิน นูนเญซ ต้องเจอกับแรงกดดันอย่างนัก แต่ดูเหมือนว่านักเตะเริ่มค่อยๆ พัฒนาศักยภาพมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
สำหรับประตูแรกที่ทำได้ในแมตช์นี้ ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยที่ดีเยี่ยมสำหรับนักเตะ เพราะมันคงช่วยลดความประหม่า และสามารถสร้างความมั่นใจให้กับ นูนเญซ เมื่อต้องลงสนามในเกมพรีเมียร์ลีก หรือแมตช์อื่นๆ
ถึงแม้ว่าประตูดังกล่าวจะไม่ได้สวยเริ่ดหรูอลังการอะไรก็ตาม แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง หัวหอกชาวอุรุกวัย แสดงให้เห็นถึงความนิ่งในการจบสกอร์มากกว่าเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
มันไม่สำคัญว่าการยิงประตูจะต้องงดงาม หรือเพอร์เฟกต์ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย ซึ่งถ้า นูนเญซ ทำได้แบบนี้อย่างต่อเนื่อง มันคงทำให้เขายิ่งมั่นใจมากขึ้น
3. กัคโป วางใจได้เสมอ
มันช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ ที่ตอนนี้แนวรุกของ ลิเวอร์พูล มีการแข่งขันแย่งตำแหน่งกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะหน้าเป้าเนื่องจากทั้ง นูนเญซ และ โคดี้ กัคโป ต้องพยายามงัดฟอร์มเก่งออกมาเพื่อให้ คล็อปป์ เลือกลงตัวจริง
สตาร์ชาวดัตช์กลายเป็นผู้เล่นคนโปรดที่ คล็อปป์ เลือกจับลงเล่นหน้าเป้านับตั้งแต่ที่เขาย้ายมาร่วมทัพเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยนอกจากจะยืนแนวรุกได้ดีแล้ว การช่วยเกมรับก็ถือว่าใช้ได้ด้วย
กระนั้นจุดเด่นของ กัคโป ก็คือการครองบอลเหนียวแน่น, นิ่ง และการยิงประตูที่เฉียบคม เรื่องนี้แฟนบอล "เดอะ เร้ดส์" คงได้เห็นเต็มสองตาแล้วจากจังหวะการยิงประตูของเขาในแมตช์นี้
ถ้าหัวหอกทีมชาติเนเธอร์แลนด์ สามารถรักษาผลงานได้ดีแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าคนที่เดือนร้อนคงหนีไม่พ้น นูนเญซ สำหรับการเป็นตัวเลือกแรกในตำแหน่ง "เบอร์ 9"
4. เปิดตัว แม็ค อัลลิสเตอร์, โซโบซไล
แน่นอนว่าแมตช์นี้แฟนบอลลิเวอร์พูล รวมทั้งแฟนบอลทีมอื่นๆ คงเฝ้าจับตามองผลงานของสองนักเตะใหม่อย่าง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โดมินิค โซโบซไล สำหรับแมตช์เปิดตัวของเขาในสีเสื้อ "หงส์แดง"
แทนที่จะส่ง สตาร์ทีมชาติอาร์เจนตินา ชุดแชมป์เวิลด์ คัพ 2022 ยืนแผงมิดฟิลด์ฝั่งซ้าย และ โซบอซไล เล่นด้านขวาอย่างที่คาดไว้ แต่ดูเหมือนว่า คล็อปป์ จะพลิกโผผู้เล่นใหม่สองคน
แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้ลงเล่นในครึ่งเดียวกันในแมตช์นี้่ก็ตาม แต่การจัดทีมก็ยังคงเป็นแบบเดิม โดย แม็ค อัลลิสเตอร์ ลงเล่นทางขวาในครึ่งหลัง ส่วน ดาวเตะชาวฮังการี ยืนทางซ้ายในครึ่งแรก
มีความเป็นไปได้ว่า นายใหญ่ชาวด๊อยท์ช อาจจะมองว่านี่คือตำแหน่งที่นักเตะทั้งสองคนต้องลงเล่นในระยะยาว จึงตัดสินใจที่จะให้พวกเขาได้เรียนรู้เพื่อจะดึงศักยภาพในตัวเองออกมา
5. เฮนโด้ ใกล้อำลาทีม
ข่าวใหญ่ที่สุดก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะลงสนามในเกมเปิดปรีซีซั่นคงหนีไม่พ้นการที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ไม่มีชื่ออยู่ในโผอุ่นเกือกกับ คาร์ลสรูห์ ซึ่งเหมือนเป็นการบอกเป็นนัยๆ ในเร็วๆ นี้เขาจะไปเล่นที่อื่น
"กัปตันเฮนโด้" ได้รับการคาดหมายว่าสนใจย้ายออกจาก แอนฟิลด์ หลังได้ข้อเสนอจาก อัล เอตติฟาค ที่มี สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตสตาร์ดังของ หงส์แดง กุมบังเหียนโดยกองกลางวัย 33 ปีได้รับการทาบทามด้วยค่าแรงสูงถึงสัปดาห์ละ 700,000 ปอนด์ (ราว 31.2 ล้านบาท) ภายใต้สัญญาสามปี
ล่าสุดสื่อดังหลายสำนัก รวมทั้ง ฟาบริซิโอ โรมาโน่ เหยี่ยมข่าวชื่อก้องโลก รายงานตรงกันว่า ลิเวอร์พูล กับทีมดังลีกแดนเศรษฐีน้ำมัน ตกลงเรื่องค่าตัวได้เรียบร้อยแล้ว โดย "หงส์แดง" จะได้รับเงินค่าตัว "เฮนโด้" จำนวน 12 ล้านปอนด์ (ประมาณ 528 ล้านบาท) + แอดออน
แน่นอนว่า สาวก "เดอะ ค็อป" คงรู้สึกใจหายไม่น้อยหากทีมต้องเสีย เฮนเดอร์สัน ไปจริงๆ เพราะในยุคของเขาสโมสรประสบความสำเร็จมากมาย รวมทั้งการได้แชมป์พรีเมียร์ลีก และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ทอมเม้ง