เมสัน เมาท์ ย้ายจาก เชลซี มาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมกับได้รับความไว้วางใจให้สวมเสื้อหมายเลข 7 ซึ่งเป็นเบอร์ตำนานของสโมสร เพราะมีนักเตะระดับตำนานมากมายที่เคยได้รับโอกาสสวมเสื้อเบอร์นี้มาแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น จอร์จ เบสต์, ไบรอัน ร็อบสัน, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เอริค คันโตน่า และ เดวิด เบ็คแฮม โดยนักเตะเหล่านี้สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการลูกหนังอย่างมากในช่วงที่พวกเขาโลดแล่นบนพื้นหญ้าเขียวขจี
อย่างไรก็ตามมีผู้เล่นบางคนที่มาพร้อมกับความหวังมากมาย และได้รับเกียรติให้สวมเบอร์ตำนาน เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถแบกรับแรงกดดัน และไม่งัดฟอร์มเก่งออกมาไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องดับสนิท และอำลาทีมไปอย่างเจ็บปวด
สำหรับ เมาท์ ซึ่งย้ายมาด้วยค่าตัว 60 ล้านปอนด์ (ราว 2,520 ล้านบาท) พร้อมรับค่าเหนื่อย 250,000 ปอนด์ (ราว 10.50 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ จะอยู่ในกลุ่มตำนานหรือตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ อีกประมาณเดือนกว่าๆ จะได้รู้กัน
ประสบความสำเร็จ
จอร์จ เบสต์ (1963-1974)
สำหรับสาวก "เร้ด อาร์มี่" ต้องยอมรับว่าไม่มีนักเตะคนไหนที่เล่นได้ตื่นตาตื่นใจเท่ากับ จอร์จ เบสต์ จนกระทั่ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายมาร่วมทัพ เนื่องจากลีลาการร่ายเวทมนต์ลูกหนังของ เบสต์ มันช่างอร่อยเหาะซะเหลือเกิน
ภาพลักษณ์ของ เบสต์ ที่ออกสื่อทีวีในขณะเล่นฟุตบอล มันช่วยทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีชื่อเสียงกระฉ่อนโลกจนกระทั่งทุกวันนี้ เนื่องจากใบหน้าที่หล่อเหลากอปรกับความสามารถเชิงลูกหนังที่น่าตื่นตาตื่นใจทำให้ทุกๆ คนทึ่งกับความเก่งฉกาจของเขาจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ เบสต์ ใช้เท้าในการร่ายเวทมนต์ลูกหนังให้กับ "ปีศาจแดง" จนสามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) ในปี 1968 ยังคงติดตาตึงใจแฟนบอลทั่วโลก
สำหรับช่วงเวลาที่แข้งไอร์แลนด์เหนืออยู่ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟอร์ด เขาลงเล่น 470 เกม และยิงไปถึง 179 ประตู
ไบรอัน ร็อบสัน (1981-1994)
เจ้าของฉายา "กัปตันมาร์เวล" หรือ "กัปตันกระดูกเหล็ก" ยังคงเป็นนักเตะที่แฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด รักอย่างมาก เพราะความทุ่มเท และการสู้แบบไม่กลัวเจ็บของเขาที่มีให้กับสโมสรแห่งนี้ มันยังคงน่าทึ่งมิเสื่อมคลาย
เกม ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ ยังคงเป็นแมตช์ที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลสำหรับแฟนผีโปรเจกต์ เพราะตอนนั้น บาร์เซโลน่า ที่มี ดีเอโก้ มาราโดน่า เอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 ในเกมแรก
อย่างไรก็ตาม กัปตันร็อบโบ้ ได้สร้างค่ำคืนที่สุดยิ่งใหญ่ตลอดกาล เมื่อเขามีส่วนสำคัญในการช่วย แมนฯ ยูฯ พลิกนรกเอาชนะ บาร์ซ่า 3-0 โดย ร็อบสัน ซัด 2 ประตูในเกมนั้น
แม้สุดท้ายทีมจะไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่นั่นก็คือหนึ่งในวีรกรรมความเป็นผู้นำของ ร็อบสัน ที่แฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด อยากเห็นในตัวกัปตันทีมชุดปัจจุบัน
เดวิด เบ็คแฮม (1992-2003)
ต้องบอกว่ามันไม่ค่อยแฟร์นักที่ภาพลักษณ์ความหล่อ และการมีสถานะเป็นเซเลบริตี้ถูกพูดถึงมากกว่าความสามารถในเชิงลูกหนัง ทั้งๆ ที่ เดวิด เบ็คแฮม ถือเป็นปรมาจารย์ในการเปิดบอลที่แม่นยำที่สุดคนหนึ่งในวงการฟุตบอล
"เบ็คส์" ขึ้นชื่อลือชาในฐานะเจ้าพ่อลูกนิ่งไม่ว่าจะเป็นลูกฟรีคิก, เตะมุม ลูกเปิดยาว, ลูกเปิดจากริมเส้น หรือการวางบอลลึก ทั้งหมดนี้เจ้าตัวทำได้ดีเยี่ยมราวกับจับวาง ซึ่งในยุคของเขาแทบหาคู่ต่อกรณีได้ยากมากๆ
มีหลายประตูที่ เบ็คแฮม จัดการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายแบบงามหยดชดช้อย หนึ่งในนั้นก็คือการยิงระยะเกือบครึ่งสนามในแมตช์ดวลกับ วิมเบิลดัน ซึ่งเป็นหนึ่งในการทำประตูที่สวยที่สุดตลอดกาลของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วย
ปัจจุบัน เบ็คแฮม ซึ่งแต่งงานกับ วิคตอเรีย อดีตป็อบสตาร์ "สไปซ์ เกิร์ลส์" และมีลูกด้วยกับ 4 คน ยังคงอยู่ในแวดวงลูกหนัง โดยเปลี่ยนสถานะจากนักเตะเป็นเจ้าของทีมอินเตอร์ ไมอามี่ ในศึกเมเจอร์ลีก ซอคเก้อร์ (เอ็มแอลเอส) สหรัฐอเมริกา
เอริค คันโตน่า (1992-1997)
บุรุษผู้ทรนงชาวฝรั่งเศส เป็นหนึ่งในไอคอนลูกหนังที่แฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีทางลืมเลือน เพราะเขาคือหนึ่งในขุนพลสำคัญของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในการนำ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับคืนบัลลังก์เจ้าลูกหนังลีกอังกฤษ
"ก็องโต" คือผู้เล่นที่มีส่วนสำคัญที่นำ "ผีแดง" ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 1992/1993 หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มนับหนึ่งในการเป็นมหาอำนาจลูกหนังบนเกาะอังกฤษ และกลายเป็นทีมที่ไม่มีใครสามารถโค่นได้
ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่อยู่ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นั้น สตาร์ลูกหนังเลือดเฟร้นช์ คว้าแชมป์ลีก 4 สมัย และ เอฟเอ คัพ 2 สมัย พร้อมกับยิงประตูไปถึง 82 ลูกจากการเล่น 185 เกม
นอกเหนือความสามารถในเชิงลูกหนังแล้ว ความโหดของเจ้าตัวก็ไม่ธรรมดา และเคยสร้างวีรเวรเอาไว้มากมาย หนึ่งในนั้นก็คือการกระโดดถีบ แมทธิว ซิมมอนส์ แฟนบอลคริสตัล พาเลซ
น่าเสียดายที่นักเตะแขวนสตั๊ดไว้ไปหน่อย แต่กระนั้นความยิ่งใหญ่ของ คันโตน่า มันยังคงติดตาตรึงใจสาวก "เร้ด อาร์มี่" จนกระทั่งปัจจุบัน และชื่อ "เอริค เดอะ คิง" ไม่เคยเลือนหายไปจากบรรดาแฟนบอลพันธุ์แท้แมนฯ ยูไนเต็ด
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (2003-2009 และ 2021-2022)
สตาร์ชาวโปรตุกีส เป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกช่วงแรกที่เขาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งต้องขอบคุณ "ป๋า" ที่ช่วยปลุกปั้นเด็กน้อยคนหนึ่งจากดินแดนฝอยทองให้กลายเป็นยอดแข้งจนทุกวันนี้
โรนัลโด้ คว้าแชมป์ทุกอย่างกับ แมนฯ ยูฯ รวมทั้ง พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย และ แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย นอกจากนี้เขายังได้รับบอลทองคำ หรือ บัลลงดอร์ ตอนสวมชุด "ผีแดง" 1 สมัยด้วย
อย่างไรก็ตามงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา เมื่อ "โด้" ตัดสินใจย้ายไปเล่นกับ เรอัล มาดริด ในปี 2009 ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลกในเวลานั้น และมีโอกาสได้ดวลกับคู่แข่งโดยตรงนั่นก็คือ ลิโอเนล เมสซี่
จากนั้นนักเตะได้หวนกลับมาเล่นให้กับ "ผีแดง" อีกครั้งในปี 2021 หลังอำลา ยูเวนตุส และเป็นดาวซัลโวสโมสรในซีซั่นแรกที่หวนคืนถิ่นคำรบสอง อย่างไรก็ตามทุกอย่างกลับพังทลายเมื่อ เอริค เทน ฮาก ได้รับแต่งตั้งคุม แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2022
"ซีอาร์ เซเว่น" มีเรื่องกินแหนงแคลงใจกับ เทน ฮาก มาตลอด และสุดท้ายเจ้าตัวไประเบิดกับ เพียร์ส มอร์แกน พิธีกรดัง เมื่อให้สัมภาษณ์โจมตีต้นสังกัด และกุนซือชาวดัตช์ จนสุดท้ายสโมสรตัดสินใจแยกทางกับเขา
แม้จะจบไม่สวยก็ตาม แต่ความยิ่งใหญ่ท่ โรนัลโด้ สร้างเอาไว้กับทีมช่วงแรกที่อยู่ใน "โรงละครแห่งความฝัน" ไม่เคยทำให้แฟนผีแดงลืมได้เลย ส่วนเรื่องลบๆ ไม่มีความสำคัญอะไรทั้งนั้น
ล้มเหลวสิ้นดี
เมมฟิส เดอปาย (2015-2017)
สมัยที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงสุดขีด เดอ ปาย เป็นที่หมายปองของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล และ "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ก่อนที่ หลุยส์ ฟาน กัล ที่ในขณะนั้นกุมบังเหียน แมนฯ ยูไนเต็ด ชักแม่น้ำทั้งห้าหว่านล้อมจนนักเตะใจอ่อนย้ายมาร่วมทัพด้วย
อย่างไรก็ตาม 18 เดือนหลังจากนั้นนักเตะต้องเก็บเสื้อผ้าอำลา "เธียเตอร์ ออฟ ดรีม" เนื่องจากไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลย และแน่นอนว่าแฟนบอลแมนฯ ยูฯ รู้สึกผิดหวังกับ เดอ ปาย อย่างมากนอกเหนือจากรอยสักที่มีอยู่เต็มตัวแล้ว ผลงานในสนามของ แนวรุกทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ไม่มีอะไรที่น่าจดจำเลย และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาอยู่กับทีมเพียงไม่นาน ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ โอลิมปิก ลียง
อังเคิล ดิ มาเรีย (2014-2015)
หากจะพูดกันตรงๆ ฟาน กัล เป็นคนที่เลือก ดิ มาเรีย ส่วนนักเตะไม่ได้อยากย้ายมาเล่นให้ แมนฯ ยูฯ ด้วยซ้ำ เนื่องจากครอบครัวของเขาไม่เคยมีความคิดอยากจะมาใช้ชีวิตในเมืองแมนเชสเตอร์แม้แต่นิดเดียว
การย้ายจาก เรอัล มาดริด มาเล่นให้ แมนฯ ยูฯ ถือเป็นฝันร้ายของ ดิ มาเรีย อย่างแท้จริง โดยนักเตะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในเมืองผู้ดีได้เลย และยิ่งต้องมาสวมเสื้อเบอร์ 7 ยิ่งต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาล ทำให้เขางัดฟอร์มเก่งออกมาไม่ได้
ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ ใช้เวลาแค่ซีซั่นเดียวกับ "ปีศาจแดง" ก่อนย้ายไปเล่นให้ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แถมหลังย้ายไปแล้วนักเตะยังให้สัมภาษณ์ในเชิงล้มกับอดีตต้นสังกัด และ ฟาน กัล เช่นเดียวกับภรรยาของเขาที่บอกว่าเมืองแมนเชสเตอร์ น่าเบื่อสิ้นดี
เชื่อว่าหากมีการโหวตนักเตะที่ห่วยที่สุดในสายตาของสาวก "เร้ด อาร์มี่" แน่นอนว่าชื่อของ ดิ มาเรีย ต้องอยู่อันดับต้นๆ แน่นอน ก็แหมเล่นไม่ดีไม่ว่าแต่ประจานทีมเก่าแบบนี้มันรับไม่ได้จริงๆ
อเล็กซิส ซานเชซ (2018-2020)
แม้ว่า อเล็กซิส ซานเชซ จะย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัวเนื่องจากเป็นการย้ายสลับขั้วกับ เฮนริค มคิตาร์ยาน ซึ่งถูกส่งไปอยู่กับ อาร์เซน่อล เดือนมกราคม 2018 แต่ค่าเหนื่อยของเขาว่ากันว่ามหาศาลสุดๆ สวนทางกับฟอร์มที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
แมนฯ ยูฯ จ่ายค่าเหนื่อยให้ ดาวเตะชาวชิลี มากกว่า 60 ล้านปอนด์ (ราว 2,520 ล้านบาท) แถมยังมีรายได้อื่นๆ แต่สิ่งที่ตอบแทนกับมายังสโมสรก็คือการยิง 5 ประตูจากการลงสนาม 45 เกม
ดังนั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเลยที่ ซานเชซ จะเก็บเสื้อผ้าอำลาสโมสรไปอย่างรวดเร็ว สิ่งเดียวที่เขาทิ้งเอาไว้ให้คอลูกหนังได้จดจำก็คือลีลาการเล่นเปียโนในช่วงเปิดตัวกับ "ปีศาจแดง" และยังคงถูกนำมาล้อเลียนจนทุกวันนี้
ไมเคิ่ล โอเว่น (2009-2012)
การย้ายมาของ ไมเคิ่ล โอเว่น ต้องบอกว่าฮือฮาเหลือเกิน ไม่ใช่เพราะ แมนฯ ยูฯ ได้นักเตะซูเปอร์สตาร์ แต่พวกเขาได้แข้งระดับตำนานของ ลิเวอร์พูล มาร่วมทัพ ซึ่งนั่นเป็นการหักหน้าคู่อริตลอดกาลอย่างแท้จริง
โอเว่น ซึ่งเป็นนักเตะหนึ่งเดียวของ "หงส์แดง" ที่ได้รับบัลลงดอร์ ยิงได้แค่ 5 ประตูในลีกตอนที่เล่นกับ แมนฯ ยูฯ แต่เขาไม่เคยถูกลืมในฐานะแข้งสำคัญที่ยิงประตูชัยในช่วงท้ายเกมศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์ ในปี 2009
แม้ว่า อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ เจ้าของฉายา "เบบี้โกล" จะขึ้นชื่อว่าเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก กับ "ผีแดง" ก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้รับการจดจำในฐานะนักเตะที่คู่ควรกับเสื้อหมายเลข 7
ทอมเม้ง