แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพิ่งประกาศคว้าตัว เมสัน เมาท์ มิดฟิลด์ชาวอังกฤษ มาร่วมทัพเรียบร้อยแล้ว และเป็นการเสริมทัพรายแรกของ "ผีแดง" ในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยค่าตัวที่พวกเขาจ่ายให้ เชลซี จำนวน 55 ล้านปอนด์ (ราว 2,310 ล้านบาท)
สำหรับเม็ดเงินที่ทีมของกุนซือเอริค เทน ฮาก ทุ่มซื้อจะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ แฟนผีโปรเจ็กต์คงยังไม่สามารถตอบได้ แต่ผลงานที่ เมาท์ ได้สร้างเอาไว้กับ เชลซี ด้วยการลงเล่นทีมชุดใหญ่จำนวน 195 นัด และตะบันตาข่ายไป 33 ประตู ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามสำหรับตำแหน่งกองกลางตัวรุก ยังมีนักเตะอีกหลายคนที่ย้ายทีมด้วยค่าตัวที่แพงกว่า เมาท์ แต่ผลงานไม่ได้โดดเด่นเท่ากับเม็ดเงินที่สโมสรทุ่มซื้อ ขณะที่บางรายย้ายทีมด้วยค่าตัวถูกแสนถูกแต่ฟอร์มกระฉูดเหลือเกิน
1. ฮาเมส โรดริเกซ : 63.2 ล้านปอนด์ (ราว 2,654.4 ล้านบาท) จาก โมนาโก ไป เรอัล มาดริด เดือนกรกฎาคม 2014
โรดริเกซ พัฒนาจากนักเตะฝีเท้าดีกลายเป็นแข้งระดับโลก หลังจากที่สร้างผลงานดีมีคุณภาพในศึกเวิลด์ คัพ 2014 ด้วยเหตุนี้ เรอัล มาดริด จึงตัดสินใจทุ่มเงินมหาศาลเพื่อกระชากตัวเขามาปั้นเกมในถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบว จนทำให้เขาเป็นแข้งที่มีค่าตัวแพงสุดเป็นอันดับ 4 โลกในตอนนั้น อย่างไรก็ตามนักเตะไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งเพื่อตอบแทนเม็ดเงินที่ทีมทุ่มลงไปได้เลย สุดท้ายก็ต้องระเห็จออกจากสโมสรในปี 2020
2. โตมาร์ เลอมาร์ : 63 ล้านปอนด์ (ราว 2,646 ล้านบาท) จาก โมนาโก ไป แอตเลติโก มาดริด เดือนมิถุนายน 2018
อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล พยายามอย่างยิ่งที่จะทุ่มเงินเป็นสถิติสโมสรในการคว้าตัว โตมาร์ เลอมาร์ มาร่วมทัพ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ และนักเตะตัดสินใจเดินทางไปหาความท้าทายบนดินแดนกระทิงดุ จากนั้น ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ นายใหญ่ "ตราหมี" ก็จัดการจับเขาอยู่เป็นแข้งคีย์แมนของสโมสรตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน และไม่เคยคิดที่จะปล่อยแข้งเลือดเฟร้นช์ออกไปไหนเลย
3. โดมินิก โซโบซไล : 60 ล้านปอนด์ (ราว 2,520 ล้านบาท) จาก แอร์เบ ไลป์ซิก ไป ลิเวอร์พูล เดือนกรกฎาคม 2023
ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนขุมกำลังในแผงมิดฟิลด์ โดยพวกเขาเซ็นสัญญากับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ เป็นรายแรก ด้วยค่าตัวที่ถูกแสนถูก จากนั้นพวกเขาก็คว้า โซโบซไล มาเสริมแกร่งด้วยการทุ่มเงินค่าฉีกสัญญาให้กับ ไลป์ซิก ทำให้ "หงส์แดง" ปาดหน้า นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่สนใจนักเตะชาวฮังการีเช่นกัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าการมาอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์ จะต้องไปเล่นถ้วยยูโรปา ลีก แต่ก็ไม่สนเพราะนี่คือทีมยักษ์ใหญ่ของจริง
4. กาก้า : 56 ล้านปอนด์ (ราว 2,352 ล้านบาท) จาก เอซี มิลาน ไป เรอัล มาดริด เดือนมิถุนายน 2009
การย้ายทีมของ ริคาร์โด้ กาก้า เรียกว่าฮือฮาสุดๆ ในตอนนั้น โดยก่อนหน้าที่นักเตะจะไปเล่นให้ "ราชันชุดขาว" เขาได้รับความสนใจจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ต้องการทุ่มเงินกว่า 91 ล้านปอนด์ (ราว 3,822 ล้านบาท) พร้อมค่าเหนื่อย 500,000 ปอนด์ (ราว 21 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ ในเดือนมกราคม แต่ สตาร์ชาวบราซิเลียน ปฏิเสธแบบไม่ใยดี แต่สุดท้ายเจ้าตัวเลือกที่จะเซ็นสัญญากับ "โลส บลังโกส" ในช่วงซัมเมอร์ โดยเขาทำผลงานกับ เรอัล ไม่ค่อยดีนักยิงได้แค่ 29 ประตูกับ 39 แอสซิสต์ จาก 120 เกม แต่ก็มีส่วนนำทีมคว้าแชมป์ 2 รายการ (ลา ลีกา กับ โกปา เดล เรย์) ตลอดระยะเวลา 4 ปี ก่อนที่จะหวนกับไปสู่อ้อมอก เอซี มิลาน อีกครั้ง
5. บรูโน่ แฟร์นันด์ส : 55.6 ล้านปอนด์ (ราว 2,335.2 ล้านบาท) จาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน ไป แมนฯ ยูไนเต็ด เดือนมกราคม 2020
การย้ายมาของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส สร้างผลกระทบมหาศาลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะทำให้ทีมมีผลงานที่ยอดเยี่ยมอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยค่าตัวของนักเตะถือว่าคุ้มค่ามากๆ เนื่องจากเบื้องต้นทีมจ่าย 46.6 ล้านปอนด์ (ราว 1,957.2 ล้านบาท) พร้อมกับแอด-ออน แต่ สปอร์ติ้ง มีสิทธิ์ได้เงินเพิ่มอีก 12.7 ล้านปอนด์ (ราว 533.4 ล้านบาท) ถ้านักเตะได้รางวัลแข้งยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ หรือติดหนึ่งในสามรางวัลบัลลงดอร์ จะว่าไปแล้วฟอร์มที่สุดยอดของเขาถือว่าคุ้มค่าทุกเพนนีที่ "ผีแดง" จ่ายไป
6. เมสัน เมาท์ : 55 ล้านปอนด์ (ราว 2,310 ล้านบาท) จาก เชลซี ไป แมนฯ ยูไนเต็ด เดือนกรกฎาคม 2023
การเหลือสัญญาแค่ปีเดียวกับ เชลซี แต่ แมนฯ ยูฯ ไม่อยากรอที่จะคว้าตัวนักเตะแบบฟรีเอเจ้นต์ นั่นทำให้พวกเขาตัดสินใจทุ่มเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อกระชากกองกลาวทีมชาติอังกฤษมาร่วมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ สำหรับค่าตัวของเขาต้องบอกว่าถูกมากๆ เมื่อเทียบกับผลงานของนักเตะที่ช่วย "สิงห์บลูส์" คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่จะคุ้มไหมต้องรอดูฟอร์มเมื่อถึงเวลาเปิดซีซั่นใหม่
7. ออสการ์ : 52 ล้านปอนด์ (ราว 2,184 ล้านบาท) จาก เชลซี ไป เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี เดือนมกราคม 2017
ต้องบอกว่าเป็นเรื่องช็อกวงการลูกหนังมากๆ ที่ ออสการ์ ตัดสินใจอำลา เชลซี ไปทำมาหารับประทานที่ประเทศจีน เพราะในช่วงเวลานั้นนักเตะถือว่าเป็นหนึ่งในแข้งคีย์แมนของ "สิงโตน้ำเงินคราม" และยังมีอนาคตกับทีม แต่อยู่ดีๆ เจ้าตัวก็เลือกเก็บเสื้อผ้าไปหาความท้าทายใหม่กับ เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี แน่นอนว่าหลายๆ คนยังคงงงและสงสัยถึงเหตุผลที่ สตาร์ชาวบราซิเลียน ย้ายไปดินแดนเอเชีย แต่มีหลายคนเชื่อว่าหนึ่งในเหตุผลที่ ออสการ์ ทำแบบนั้นก็คือเม็ดเงินค่าตอบแทนสุดงาม
8. ซีเนดีน ซีดาน : 46.6 ล้านปอนด์ (ราว 1,957 ล้านบาท) จาก ยูเวนตุส ไป เรอัล มาดริด เดือนกรกฎาคม 2001
จำนวนตัวเลขค่าตัวของ ซีเนดีน ซีดาน ในเวลานั้นถือว่ามหาศาลอย่างมาก โดย เรอัล มาดริด ต้องการศักยภาพในการปั้นเกมของ "ซิซู" เพื่อมาช่วยทำให้ทัพ "กาลาติกอส" แข็งแกร่งเป็นทวีคูณ แน่นอนว่านั่นคือการย้ายทีมที่คุ้มค่าเหลือเกิน เพราะนักเตะช่วยสโมสรคว้าแชมป์มากมายรวมทั้งแชมป์ "หูกาง" ซึ่งเขาได้สร้างความทรงจำจากจังหวะยิงประตูสุดงามในรอบชิงชนะเลิศ ปี 2002 แถมพอนักเตะแขวนสตั๊ด และได้โอกาสคุมทีม ก็ช่วยสโมสรคว้าแชมป์ลา ลีกา 2 สมัย และแชมเปี้ยนส์ ลีก 3 สมัยติดต่อกัน
9. กิลฟี่ ซิกูร์ดสัน : 45 ล้านปอนด์ (ราว 1,890 ล้านบาท) จาก สวอนซี ซิตี้ ไป เอฟเวอร์ตัน เดือนสิงหาคม 2017
ซิกูร์ดสัน ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นกับ สวอนซี ซิตี้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ เอฟเวอร์ตัน ยอมทุ่มเงินเต็มสูบเพื่อแย่งตัวนักเตะมาช่วยปั้นเกม ผลงานของเจ้าตัวโดดเด่นอย่างมากจนกระทั่งฤดูกาล 2021/2022 นักเตะไม่มีโอกาสได้ลงสนาม ก่อนที่จะอำลาทีมในเดือนมิถุนายน 2022 หลังหมดสัญญากับ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน"
10. แบร์นาร์โด้ ซิลวา : 43 ล้านปอนด์ (ราว 1,806 ล้านบาท) จาก โมนาโก ไป แมนฯ ซิตี้ เดือนพฤษภาคม 2017
ลองนึกภาพค่าตัว 43 ล้านปอนด์ ที่ แมนฯ ซิตี้ ทุ่มซื้อ ซิลวา มาจากโมนาโกในตอนนั้นอาจดูเหมือนว่ามันแพงเหลือเกิน แต่เมื่อเทียบกับความสำเร็จของเขาในการช่วย "เรือใบสีฟ้า" คว้าแชมป์มากกว่า 12 รายการ รวมทั้งทริปเบิ้ลแชมป์เมื่อซีซั่นล่าสุด และลงสนามไป 306 เกมในยุคที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุมบังเหียน มากกว่าแข้งคนอื่นๆ ยกเว้น เควิน เดอ บรอยน์ (315 เกม) ดังนั้นเงินที่ทีมยอมจ่ายไปตอนนั้นมันตอบแทนกลับมาเป็นความสำเร็จของทีมซึ่งถือว่าคุ้มมากๆ แต่กระนั้นนักเตะมีข่าวเตรียมย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์นี้
ทอมเม้ง