เดลี่ เมล สื่อเมืองผู้ดีเปิดเผยข้อมูลเสื้อแข่งเกรดแฟนบอล (Replica) ของทีมใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ว่าแต่ละตัวนั้นมีมูลค่าต่าง ๆ เท่าไหร่ และต้องแบ่งให้ใครบ้าง
จากการที่ 10 สโมสรแห่งศึก พรีเมียร์ลีก ประกาศอัปราคาเสื้อแข่งเกรดแฟนบอลในฤดูกาลหน้า ซึ่งขึ้นตัวเลขราว ๆ 9-14 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ อาร์เซน่อล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสองทีมที่ขึ้นราคามากสุด 14 เปอร์เซ็นต์จากราคา 70 ปอนด์ หรือประมาณ 3,140 บาทเป็น 80 ปอนด์ หรือประมาณ 3,585 บาท ตกแล้วเพิ่มขึ้นเป็นเงินไทยประมาณ 445 บาทต่อตัว
ซึ่งส่งผลให้ชุดแข่งเกรดแฟนบอล "ปืนใหญ่" กับ "ปีศาจแดง" ขึ้นไปมีราคามากที่สุดร่วมกับเสื้อแข่ง ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่ขึ้นราคาจากเดิม 5 ปอนด์จาก 75 ปอนด์ เป็น 80 ปอนด์
ขณะที่หากผู้ซื้อต้องการอัปเกรดเสื้อให้เป็นแบบฟูล ออปชั่น โดยมีอาร์ม และเบอร์พร้อมชื่อผู้เล่น ราคาจะเพิ่มขึ้นไปถึง 100 ปอนด์ หรือประมาณ 4,500 บาทเลยทีเดียว
จากข้อมูลของ ดร.ปีเตอร์ โรห์ลมันน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสปอร์ต มาร์เก็ตติ้งชาวเยอรมัน เผยว่าต้นทุนพื้นฐานของเสื้อราคา 80 ปอนด์นั้นอยู่ที่เพียง 8 ปอนด์ หรือประมาณ 360 บาทเท่านั้น หรือคิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของราคาเสื้อแข่ง โดย 8 ปอนด์ที่ว่านั้นรวมค่าวัสดุ, ค่าแรง (ในเอเชีย) บวกกับค่าขนส่ง
ส่วนที่เหลือแบ่งเป็นรายอื่น ๆ ที่ได้รับคือ ผู้ค่าปลีกซึ่งปกติแล้วมักเป็นสโมสรนั้น ๆ ที่จะได้รับ 26.40 ปอนด์ หรือประมาณ 1,180 บาท, แบรนด์ที่ผลิตเสื้อจะรับ 23.47 ปอนด์ หรือประมาณ 1,050 บาท, ภาษี 13.33 ปอนด์ หรือประมาณ 600 บาท, ค่าลิขสิทธ์ที่สโมสรได้รับ 4.8 ปอนด์ หรือประมาณ 215 บาท ขณะที่ค่าการตลาดอยู่ที่ 2.4 ปอนด์ 108 บาท และค่าจำหน่ายในท้องถิ่น 1.6 ปอนด์ หรือประมาณ 72 บาท
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็น และอาจมีแตกต่างไปเล็กน้อยขึ้นอยู่กับสัญญาระหว่างสโมสร และผู้ผลิต ซึ่งทั่วไปในแต่ละปีจะมีการจ่ายเงินก้อนให้กับสโมสร
โดยบรรดาสโมสรที่ให้ข้อมูลกับ The Money บอกว่าเจ้าผลิตเสื้อแข่งของพวกเขาอย่าง อดิดาส, ไนกี้ และ พูม่า เป็นฝ่ายที่ตั้งราคาขึ้นมา
สำหรับเสื้อแข่งที่ขึ้นราคา 5 ปอนด์ หรือประมาณ 225 บาทนั้น ประกอบไปด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (75 ปอนด์), ลิเวอร์พูล (74.95 ปอนด์), แอสตัน วิลล่า (70 ปอนด์), นิวคาสเซิ่ล (70 ปอนด์), เอฟเวอร์ตัน (65 ปอนด์), คริสตัล พาเลซ (60 ปอนด์) และ วูล์ฟส์ (60 ปอนด์)
ที่มา : dailymail.co.uk