ลิเวอร์พูล เพิ่งประกาศอย่างเป็นทางการว่า หลุยส์ ดิอาซ จะได้สืบทอดเสื้อหมายเลข 7 คนต่อไป หลังจากที่ เจมส์ มิลเนอร์ ตัดสินใจอำลาถิ่นแอนฟิลด์ เพื่อออกไปหาความท้าทายใหม่ในช่วงบั้นปลายชีวิตนักเตะกับ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน
สำหรับเสื้อเบอร์ 7 ของ "หงส์แดง" ถือเป็นหมายเลขประวัติศาสตร์ของทีม โดยผ่านการสวมใส่จากนักเตะระดับตำนานของสโมสรมาแล้วมากมาย รวมทั้ง เซอร์ เคนนี่ ดัลกลิช และ เควิน คีแกน
อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีนักเตะหลายคนที่ได้ใส่เสื้อหมายเลขนี้ โดยได้พบกับความสำเร็จ และความล้มเหลวเนื่องจากต้องเจอกับแรงกดดันมหาศาลเพราะใส่เบอร์ตำนานของ "เดอะ เร้ดส์"
ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา มิลเนอร์ ครอบครองเสื้อเบอร์ 7 และเขาถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่เหมาะสมกับการได้ใส่หมายเลขตำนาน เนื่องจากผลงานของเจ้าตัวพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นสาวก "เดอะ ค็อป" ทั่วโลกคงไม่รักเขามากขนาดนี้
หากนับตั้งแต่ปี 1993 มีนักเตะ 7 รายของ ลิเวอร์พูล ที่ได้รับความไว้วางใจให้สวมใส่เสื้อหมายเลข 7 และแต่ละคนทำผลงานเป็นยังไง ลองไปพิจารณากันเลยดีกว่า
7. ร็อบบี้ คีน
ร็อบบี้ คีน เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่กับ ลิเวอร์พูล เพียงไม่นาน โดยนักเตะชาวไอริชถูกซื้อมาโดย ราฟาเอล เบนนิเตซ เมื่อปี 2008 โดยในตอนนั้น "หงส์แดง" เป็นหนึ่งในสโมสรชั้นนำของยุโรป ขณะที่ คีน ก็ฮอตเหลือเกินช่วงที่เล่นให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
แน่นอนว่าผลงานของ คีน กับ สเปอร์ส ตลอดระยะเวลา 6 ปีทำให้บรรดาสาวก "เดอะ ค็อป" คาดหวังในตัวเขาค่อนข้างสูง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็พังทลายแบบไม่เป็นทางเนื่องจากนักเตะไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลย
คีน ซึ่งเป็นแฟนพันธุ์แท้ ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่เยาว์วัย ยิงได้แค่ 7 ประตูจาก 28 เกมและต้องเก็บเสื้อผ้าข้าวของออกจากสโมสรในเดือนมกราคมปี 2009 โดยกลับไปอยู่กับ "ไก่เดือยทอง" ด้วยค่าตัวแค่ 7 ล้านปอนด์ (ราว 294 ล้านบาท) เท่านั้น นี่ถือเป็นการย้ายทีมที่สั้นและน่าผิดหวังสำหรับ "หงส์แดง"
6. ไนเจล คลัฟ
บุตรแห่ง ไบรอัน คลัฟ กุนซือระดับตำนานผู้ล่วงลับ ย้ายจาก น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ มาเล่นกับ "เดอะ เร้ดส์" เมื่อปี 1993 โดย คลัฟจูเนียร์ ถือเป็นนักเตะที่ได้รับการคาดหวังสูงมากเมื่อเทียบกับฟอร์มของเขาตอนที่เล่นให้ "เจ้าป่า"
แม้นักเตะจะยิงได้สองประตูในเกมเปิดตัว แต่เขาเล่นอยู่กับทีมที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และโดนแย่งตำแหน่งกองหน้าจาก ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ หัวหอกพรสวรรค์สูง โดยหนึ่งในผลงานสุดยอดของ คลัฟ ก็คือการซัด 2 ประตูในเกมดราม่าเสมอ แมนเชเสตอร์ ยูไนเต็ด 3-3 ซีซั่น 1993/1994
อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลา 3 ซีซั่นที่อยู่กับทีม คลัฟ โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลย โดยเขายิงไปแค่ 7 ประตูในลีก ก่อนย้ายไปเล่นให้ แมนฯ ซิตี้ ในปี 1996
5. แฮร์รี่ คีเวลล์
อีกหนึ่งนักเตะที่ย้ายมาร่วมทีมพร้อมกับชื่อเสียงที่โด่งดังมากๆ แต่ก็ไม่เคยงัดฟอร์มเก่งออกมาได้อย่างที่หลายคนคาดหวัง โดย อดีตปีกตัวจี๊ด ลีดส์ ยูไนเต็ด ใช้เวลาอยู่กับทีม 5 ซีซั่นในช่วงระหว่างปี 2003-2008
สำหรับฤดูกาลแรกของ คีเวลล์ กับ ลิเวอร์พูล ถือว่ากระท่อนกระแท่นมากๆ เพราะนักเตะยิงได้แค่ 7 ประตูในฤดูกาล 2003/2004 ก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องพักยาว
ดาวเตะชาวออสซี่ มีโอกาสได้ลงเล่นตัวจริงในเกมนัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2005 แต่เล่นได้แค่ 23 นาทีก็โดนเปลี่ยนตัวออกเพราะมีปัญหาบาดเจ็บ ก่อนที่จะนั่งดูเหมือนร่วมสังกัดสร้างปาฏิหาริย์อิสตันบูล จากตามหลัง เอซี มิลาน 0-3 ก่อนจะตีเสมอ 3-3 และชนะดวลจุดโทษ คว้าแชมป์ "บิ๊กเอียร์" อย่างยิ่งใหญ่
4. วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์
นักเตะที่ถูกส่งลงมาแทน คีเวลล์ ในเกมนัดชิงที่อิสตันบูล โดยสตาร์ชาวเช็กสร้างประโยชน์ให้กับเกมรุกของ ลิเวอร์พูล อย่างมากในช่วงเวลานั้น ที่สำคัญเขายิงประตูสุดสวยในเกมกับ มิลาน ด้วย ซึ่งเป็นการตะบันไกลจากนอกกรอบเขตโทษ
ซมิเซอร์ ได้สวมเสื้อเบอร์ 7 ในช่วงระหว่างปี 1999-2003 โดยนักเตะต้องยอมเสียสละมอบหมายเลขตำนานให้กับ คีเวลล์ ตอนที่ดาวเตะชาวออสเตรเลีย ย้ายมาอยู่กัยทีม
อย่างไรก็ตามผลงานของ ซมิเซอร์ ยังคงเป็นที่จดจำสำหรับแฟนบอล "หงส์แดง" อยู่เสมอ โดยเฉพาะการช่วยต้นสังกัดสร้างปาฏิหาริย์ที่อิสตันบลู และสร้างประวัติศาสตร์คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ฟุตบอลถ้วย (เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และยูฟ่า คัพ) ในปี 2001 ด้วย
3. เจมส์ มิลเนอร์
สำหรับ มิลเนอร์ ได้สร้างความทรงจำเอาไว้มากมายกับ ลิเวอร์พูล ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่อยู่กับทีม โดยเขาย้ายมาสวมเสื้อ "เดอะ เร้ดส์" ในปี 2015 ก่อนที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส จะโดนไล่ออก และ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามากุมบังเหียนเขาก็กลายเป็นแข้งสำคัญของสโมสร
คล็อปป์ ชื่นชอบ มิลเนอร์ อย่งามาก เนื่องจากเป็นนักเตะที่เล่นได้หลากหลายตำแหน่ง และพร้อมทุ่มเทให้กับทีมทั้งๆ ที่อายุเยอะแล้วแต่ก็ยังคงรักษามาตรฐานการเล่นได้อย่างดีเยี่ยม ที่สำคัญเขายังมีความเป็นผู้นำสูง และมีประสบการณ์ในลีกเยอะมาก
จะว่าไปแล้ว มิลเนอร์ ไม่ใช่ผู้เล่นเบอร์ 7 ตามแบบฉบับของ ลิเวอร์พูล ซึ่งแข้งที่สวมเสื้อหมายเลขนี้ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทนักเตะแนวรุกตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตามสไตล์การเล่นของเขา และการช่วยเหลือทีม จัดการลบข้อสงสัยทั้งหมด
2. สตีฟ แม็คมานามาน
หลังจากประสบความสำเร็จมากมายมหาศาลในยุค 70 จนถึงปลาย 80 ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องสร้างทีมใหม่ในช่วงต้นของลีกสูงสุดเมืองผู้ดีที่เปลี่ยนชื่อจาก ดิวิชั่น 1 เป็นพรีเมียร์ลีก โดยในเวลานั้น "หงส์แดง" ไร้ความสำเร็จ และต้องทนเห็น แมนฯ ยูฯ คู่อริตลอดกาลครองความยิ่งใหญ่
อย่างไรก็ตามในช่วงที่มีเมฆดำก็ยังพอมีแสงสว่างจางๆ อยู่บ้าง เพราะตอนนั้นทีมได้ดันนักเตะดาวรุ่งอย่าง แม็คมานามาน ก้าวขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่ และจากนั้นก็กลายเป็นหนึ่งในคีย์แมนเกมรุกของสโมสร ก่อนจะได้รับโอกาสสวมเสื้อเบอร์ 7 ในช่วงระหว่างปี 1996-1999
แม็คมานามาน ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล มากกว่า 364 เกมและเคยได้รับรางวัลทรงเกียรตินักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีพีเอฟเอ ฤดูกาล 1996/1997 แต่การที่ทีมไร้ความสำเร็จ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาเลือกย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ในปี 1999 และเป็นหนึ่งในแข้งสำคัญนำ "ราชันชุดขาว" คว้าโทรฟี่ "หูกาง"ในปี 2000 และ 2002
1. หลุยส์ ซัวเรซ
ต้องยอมรับว่านี่คือหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ ลิเวอร์พูล แม้ว่าจะอยู่กับสโมสรแค่ 3 ฤดูกาล แต่ หลุยส์ ซัวเรซ สร้างสถิติตะบันไปถึง 82 ประตูจากการลงเล่นแค่ 133 เกมในสีเสื้อ "เดอะ เร้ดส์"
ซัวเรซ ซัดในเกมลีก 31 ประตูฤดูกาล 2013/2014 และเกือบนำทีมคว้าแชมป์ลีกได้ แต่น่าเสียดายที่ ลิเวอร์พูล ดันฟอร์มสะดุดทำให้ไม่มีวาสนาได้สัมผัสแชมป์ลีกในยุคที่ร็อดเจอร์ส กุมบังเหียน
สำหรับผลงานส่วนตัวของ "คิงหลุยส์" ต้องบอกเลยว่าเป็นปรากฎการณ์อย่างแท้จริง เพราะนักเตะยิงประตูสุดสำคัญมากๆ และยังสร้างสีสันทั้งในด้านบวกและลบ แต่การได้แชมป์ลีก คัพแค่ถ้วยด้วย มันไม่เพียงพอสำหรับนักเตะระดับเวิลด์คลาสแบบเขา
สุดท้าย สตาร์ชาวอุรุกวัย ก็ต้องอำลาทีมในปี 2014 ไปเล่นกับ บาร์เซโลน่า พร้อมกอบโกยแชมป์มากมายสมใจอยาก อย่างไรก็ตามความยิ่งใหญ่ของ ซัวเรซ ยังคงอยู่ในความทรงจำของแฟนบอล "หงส์แดง" จวบจนทุกวันนี้
ทอมเม้ง