ผมเชื่อว่าการเสริมกองกลางในฤดูกาลใหม่นี้คือภารกิจที่ลิเวอร์พูลตั้งใจจะทำอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาลที่ผ่านมาเสียอีก
ฤดูกาลที่แล้วนักเตะลิเวอร์พูลทุกคนมีความชอบธรรมที่จะได้โอกาสสู้ศึกกันต่อเพราะเพิ่งจะตะลุยพาทีมลุ้น 4 แชมป์มาหมาดๆ ความตื่นเต้นตอนลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกนัดปิดฤดูกาลกับนัดชิงเจ้ายุโรปที่ปารีสยังกรุ่นๆ อยู่เลย จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ฟาบินโญ่ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ยังน่าจะเป็นตัวหลักยืนระยะเป็นหลักให้ทีมได้อีกปี
มีความสดของดาวรุ่งอย่าง เคอร์ติส โจนส์ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และที่กำลังมีแววขึ้นมาอย่าง สเตฟาน บายเซติช คอยสลับลงเล่นแบ่งเบาภาระรุ่นพี่และเพิ่มประสบการณ์ไปในตัว ทั้งยังมีคนที่อยู่ในปีสุดท้ายของสัญญาทั้ง เจมส์ มิลเนอร์ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ นาบี เกอิต้า ที่ถ้าไม่มีปัญหาบาดเจ็บ คุณภาพของพวกเขาน่าจะช่วยทีมได้ในระดับหนึ่ง
ออเรเลียง ชูอาเมนี่ เป้าหมายอันดับหนึ่งไม่มาก็ไม่เป็นไร สถานการณ์ยังไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนหากองกลางคนอื่นเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก แดนกลางชุดนี้ยังไปต่อได้อีกปี
ถ้าก่อนเปิดฤดูกาลที่แล้วคล็อปป์จะมองอย่างนี้ผมก็เข้าใจได้ ไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะมันมีกระบวนการคิดและเหตุผลที่ชัดเจนในตัว ส่วนผลลัพธ์ที่ออกมาผิดแผนก็เขาเองนั่นแหละที่ยืดอกรับผิดชอบไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว
นั่นแหละครับชีวิต.. มีอะไรที่เป็นไปตามที่เราคิดตลอดไปบ้าง
ผมคิดว่าแผนงานเกี่ยวกับแดนกลางของคล็อปป์คือเขาจะเสริมแน่ๆ แต่จะเป็นฤดูกาล 2023/24 ที่ทุกอย่างจะลงล็อกพอดี สามตัวหลักน่าจะถึงวันโรยรา สามตัวรองก็หมดสัญญาพอดี ฉะนั้นฤดูกาล 2022/23 นำเงินก้อนใหญ่ที่บอร์ดบริหารอนุมัติมาให้ไปซื้อ ดาร์วิน นูนเญซ มาจบสกอร์ให้ทีม ขณะเดียวกันก็เสาะหากองกลางที่จะตอบโจทย์ความต้องการที่สุดไปด้วยในตัว..
----------------------
สิ่งที่น่าจะเป็นแผนงานที่วางล่วงหน้าเอาไว้กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ ลิเวอร์พูลปิดดีล อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ได้อย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเดินเกมนี้มาตลอดอาจจะตั้งแต่ฤดูกาล 2022/23 ยังไม่จบด้วยซ้ำ
เป็นการทำงานในแบบฉบับของลิเวอร์พูลตลอดหลายปีที่ผ่านมาจริงๆ คือเห็นจุดอ่อนของทีม มองหานักเตะเข้ามาแก้จุดอ่อนนั้น คัดสรรเอาคนที่ตอบโจทย์ที่สุดผ่านการวิเคราะห์อย่างละเอียด
ถ้าผลออกมามีนักเตะที่เข้าข่ายแค่คนเดียวก็ล็อกแค่คนนั้นคนเดียว ถ้าการเสาะหาคายชื่อออกมาสองคนหรือสามคนก็เรียงลำดับไปตามคุณภาพแต่จะต้องไม่มีใครต่ำกว่ามาตรฐานที่ทีมต้องการ
เยือกเย็น ใช้เหตุผล ข้อมูล และหลักการนำหน้า ไม่วางตัวเองไปตกอยู่ในอาการรีบร้อนต้องหาใครสักคนมาให้ได้
ล็อกเป้าให้แม่น แล้วเดินเรื่องให้ไว จบดีลให้เร็วที่สุดเพื่อที่ตอนหมดเวลาพักร้อนแล้วทุกคนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง สมาชิกใหม่จะอยู่ตรงนั้นด้วยตั้งแต่วันแรก มีเวลาที่จะซึมซับวัฒนธรรม แนวคิด ทัศนคติ และรูปแบบการเล่นของทีมในทันที
ได้เริ่มกดรีเซ็ตเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ไปพร้อมๆ กัน
ดีลของ แม็ค อัลลิสเตอร์ นี้คือดีลสั่งลาที่ จูเลียน วอร์ด ฝากไว้ก่อนไป หลังจากนี้จะเป็นหน้าที่ของ ยอร์ก ชมัดท์เค่อ และเชื่อว่ามันจะยังดำเนินไปในแนวทางเดิม
ช่วงระหว่างนี้ไปจนถึงวันที่ 8 กรกฎาคมที่นักเตะลิเวอร์พูลจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งที่ แอ๊กซ่า เทรนนิ่ง เซนเตอร์ เราน่าจะได้รู้กันเพิ่มเติมว่าท่ามกลางข่าวลือกับนักเตะคนนู้นคนนี้คนนั้น ลิเวอร์พูลสนใจใครจริงๆ กันแน่ เนื่องจากเขาคนนั้น หรือเขา 2 คนนั้นหรือเขา 3 คนนั้นอาจจะเปิดตัวในเสื้อสีแดงเพลิงตาม แม็ค อัลลิสเตอร์ ไปแล้ว
ผมเชื่อว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ลิเวอร์พูลจะเปิดตัวนักเตะใหม่อีกแน่ก่อนถึงวันที่ 8 กรกฎาคม หรือถ้ามีเรื่องยืดเยื้อทำให้นักเตะใหม่คนนั้นย้ายมาหลังการรายงานตัววันแรกก็คงจะเป็นเหตุสุดวิสัยเรื่องการเจรจามากกว่าที่จะเป็นดีลฟ้าแลบใดๆ
จากการอำลาทีมของ มิลเนอร์ เกอิต้า อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่.. ทำให้เดอะค็อปน่าจะยังได้ตื่นเต้นแน่นอนครับกับสมาชิกใหม่คนถัดไปจากแม็ค อัลลิสเตอร์ ส่วนจะเป็นใคร ใช่คนในข่าวไหมก็ต้องตามลุ้นกันอีกที
----------------------
ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร การเข้ามาของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ทำให้เราสนุกไปกับเนื้อหาน้อยใหญ่ที่ติดตามมาเป็นพรวน ตอนนี้เรารู้จักเขาแทบจะทุกซอกทุกมุม ประวัติของเขา เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเขา สไตล์การเล่นของเขา มุมมองและบทสัมภาษณ์ของเขา
การเป็นนักฟุตบอลของลิเวอร์พูลทำให้คุณเป็นที่พูดถึงมากมายอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดา
กระนั้นดีลของ แม็ค อัลลิสเตอร์ นี้ก็ยืนยันกับเราถึงความละเอียดในการเสาะหานักเตะของลิเวอร์พูล มันยังคงเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
ลิเวอร์พูลทำได้อย่างไรกับการซื้อนักเตะวัย 24 ปีคนนี้ในราคาต่ำกว่าที่คาดกันในตลาดตั้งครึ่งหนึ่ง จาก 70 ล้านปอนด์เหลือแค่ 35 ล้านปอนด์ ถ้าไม่ใช่ความละเอียดในการมองหาเงื่อนไขหรือช่องทางที่เปิดอยู่ คอนเน็กชั่นที่กว้างขวาง และความรวดเร็วในการเจรจา
ไม่เพียงเท่านั้นต่อให้ราคาของ แม็ค อัลลิสเตอร์ ถูกเกินดีกรีแชมป์โลก ลิเวอร์พูลก็คงไม่สนใจหรอกถ้าหากกองกลางไบรท์ตันไม่ใช่คนที่ตอบโจทย์ความต้องการของทีมจริงๆ
ถ้าจำไม่ผิด ผมเคยเห็นคล็อปป์พูดถึงการซื้อในลักษณะนี้เพียงแค่คนเดียวคือ เซอร์ดาน ชากิรี่ คือเป็นนักเตะดีราคาถูกที่ไม่ได้อยู่ในแผนซื้อตัวแต่แรก หากด้วยราคาเพียง 13.5 ล้านปอนด์ทำให้เขาต้องรีบคว้ามาไว้ก่อนเพราะเสียดายเกินกว่าจะปล่อยให้ของดีอย่างนี้หลุดมือ
ไม่เชิงเป็น 'แพนิกบาย' (panic buy) แต่เป็น 'เสียดายบาย' อะไรทำนองนั้น
ในบทวิเคราะห์ของ อดัม เบต แห่งสกายสปอร์ตส์ แม็ค อัลลิสเตอร์ คือดีลที่ตอบโจทย์ความต้องการของลิเวอร์พูลมาก เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูในยุคที่กองกลางของทีมเล่นได้ดีที่สุดนั้น บรรดามิดฟิลด์ของหงส์แดงเล่นเกมรับดี เล่นเกมรุกดี เข้าปะทะดี ไล่บีบคู่แข่งดี ผ่านบอลดี และทำประตูได้ดี
คุณสมบัติเหล่านี้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ มีอยู่ในตัวด้วยคุณภาพระดับท็อปของลีกทั้งสิ้น เขาติดท็อปเท็นหรือ 10 อันดับแรกของนักเตะที่ผ่านบอลทะลุช่องมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก และติดท็อปเท็นสำหรับนักเตะที่แย่งบอลมาครองบริเวณกลางสนามได้มากที่สุดของลีก
เฉพาะ 2 ข้อนี้ก็บอกความครบเครื่องของแม็ค อัลลิสเตอร์ ได้ในระดับหนึ่ง การผ่านบอลทะลุช่องคือคุณสมบัติของกองกลางตัวรุก การแย่งบอลมาครองตรงกลางสนามคือคุณสมบัติของกองกลางตัวรับ และเขาสามารถทำได้ดีในระดับท็อปเท็นของลีกทั้ง 2 ข้อ
เบต ยกสถิติมาประกอบว่า เควิน เดอบรอยน์ กับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส อยู่ในระดับสุดยอดของการผ่านบอลทะลุช่อง แต่การแย่งบอลยังเป็นรองแม็ค อัลลิสเตอร์ อยู่มาก หรือ โรดรี้ กับ ดีแคลน ไรซ์ ก็เป็นนักเตะที่แย่งบอลได้ดีอย่างที่สุดแต่การผ่านบอลทะลุช่องของ 2 คนนี้รวมกันยังเพิ่งจะแค่ 6 ครั้ง ขณะที่แม็ค อัลลิสเตอร์ ฟาดไป 15
แน่นอนครับ บทบาทของแต่ละคนในแต่ละทีมย่อมไม่เหมือนกัน เดอบรอยน์ กับ บรูโน่ รับผิดชอบเกมรุกของทีมในลักษณะหมายเลข 10 ขณะที่ โรดรี้ กับ ไรซ์ รับผิดชอบเกมรับของต้นสังกัดในบทบาทแบบหมายเลข 6 สถิติในสองหัวข้อนี้จึงแตกต่างกันมากเมื่อเทียบกับนักเตะที่มีบทบาทหมายเลข 8 อย่าง แม็ค อัลลิสเตอร์ และคนอื่นๆ
กระนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันที่จะหาใครที่มีผลงานสมดุลถึงขนาดติดท็อปเท็นของลีกในคุณสมบัติ 2 ขั้วตรงข้ามได้อย่างนี้
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ แม็ค อัลลิสเตอร์ เริ่มต้นจากการเล่นกองกลางตัวรุก แต่ยกระดับความหลากหลายขึ้นตามแบบฉบับของนักเตะสมัยใหม่ จนปัจจุบันนอกจากจะเป็นเพลย์เมกเกอร์เบอร์ 10 ได้แล้ว ยังเล่นตัวรับแบบหมายเลข 6 และตัวขับเคลื่อนเกมแบบหมายเลข 8 ได้ด้วยทั้งยังสามารถทำได้ดีในทุกบทบาท
เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมยืดหยุ่นกับตำแหน่งของตัวเองเสมอเพราะเคารพในการตัดสินใจของคนเป็นผู้จัดการทีมที่ต้องรับผิดชอบผลงานของทีม มันยังเป็นผลพลอยได้ทำให้เขาเรียนรู้มากขึ้นด้วยและตอนนี้ก็รู้สึกเป็นธรรมชาติอย่างมากกับบทบาทหมายเลข 8 ทั้งในทีมชาติและไบรท์ตันอดีตต้นสังกัด
ทัศนคติพร้อมเปิดรับทุกความท้าทายที่เข้ามานี้อาจเป็นที่มาของสถิติ รุก-รับ ที่สมดุลระดับท็อปเท็นของพรีเมียร์ลีกนี้ก็ได้นะครับ
เบตบรรยายว่านี่คือนักเตะที่ "ideal fit" หรือลงตัวอย่างที่สุดกับความต้องการของลิเวอร์พูล เขายกอีกหนึ่งตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า คล็อปป์นั้นเป็นกุนซือที่เชื่อในเกมเคาน์เตอร์เพรสซิ่งหรือการบีบไล่แย่งบอลอย่างหนักหน่วงตั้งแต่เสียบอลในแดนคู่ต่อสู้มากกว่าการมีเพลย์เมกเกอร์เสียอีก เพราะยิ่งคุณแย่งเอาบอลกลับมาครองได้เร็วเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งอยู่ใกล้เขตโทษคู่ต่อสู้และมีโอกาสทำประตูได้มากเท่านั้น
แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง คล็อปป์เองก็ยังยืดหยุ่นแนวคิดและตามหาผู้เชี่ยวชาญเรื่องการผ่านบอลทะลุช่องก่อนจะคว้า ติอาโก้ อัลกันตาร่า เข้ามาเสริมทีม ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วทำไม แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่มีคุณสมบัติทำได้ดีทั้ง 2 อย่างถึงจะไม่ควรถูกดึงเข้ามาเป็นลูกทีมของคล็อปป์เล่า
แม็ค อัลลิสเตอร์ มีสถิติวิ่งไล่บีบแดนบนให้กับไบรท์ตันถึง 328 ครั้งเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา มากกว่ากองกลางคนไหนๆ ของลิเวอร์พูล การเข้าปะทะแย่งบอลได้อีก 70 ครั้งก็ยังมากกว่าขุนพลหงส์แดงทุกคน นี่คือคุณสมบัติที่จะเข้ามาช่วยอุดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในซีซั่นที่เพิ่งผ่านไป
เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับฤดูกาล 2019/20 ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลฤดูกาล 2022/23 ปล่อยให้คู่ต่อสู้ได้ผ่านบอลกันในแดนหลังมากขึ้น และกว่าจะแย่งบอลกลับมาได้ก็เป็นในพื้นที่ที่ห่างจากปากประตูคู่แข่งไกลขึ้น
ซีซั่นคว้าแชมป์นั้นกองหลังฝ่ายตรงข้ามแทบไม่มีเวลาได้หายใจหายคอเลยด้วยซ้ำเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักเตะที่หิวกระหายของลิเวอร์พูล
เปรียบเทียบกันแล้วเห็นภาพความเข้มข้นที่หายไปชัดเจนจริงๆ..
ที่สำคัญไม่แพ้กัน แม็ค อัลลิสเตอร์ ยังมีการเล่นโดยไม่มีบอลที่อยู่ในระดับยอดเยี่ยม เขาอ่านเกม เข้าใจความเป็นไปของเกม ทั้งเกมของตัวเองและฝ่ายตรงข้าม มองหาพื้นที่ที่ตัวเองจะเป็นประโยชน์ต่อทีม ขยับตัวบังทางวิ่งของคู่ต่อสู้เพื่อให้เพื่อนได้เปรียบเวลารุก ปิดช่องส่งบอลของคู่แข่งเวลารับ ตื่นตัวอยู่เสมอ มีสมาธิ มีสติ และมีความฟิตมากพอที่จะส่งแรงไปยังขาให้วิ่งได้มากเท่าที่สมองสั่งการ
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้เป็นตัวจริงให้ทีมชาติอาร์เจนติน่าในค่ำคืนประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์โลกกระมัง
คุณสมบัติเหล่านี้คือคำตอบว่าทำไมกองกลางคนใหม่ของลิเวอร์พูลถึงต้องเป็น อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ พวกเขาสแกนนักเตะคนนี้ไว้ในคลังข้อมูลตั้งแต่ลงสนามก้าวแรกให้ไบรท์ตันเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2020 หรืออาจจะก่อนหน้านั้นตอนเล่นให้ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส และ โบคา จูเนียร์ส ก็ได้
เลือกคนที่กลั่นกรองมาแล้วว่าคุณสมบัติตรงกับความต้องการที่สุด แล้วรีบคว้าตัวมาให้ได้โดยเร็ว บนโต๊ะเจรจาที่มีข้อมูลตื้นลึกหนาบางพร้อมทุกอย่างจนแทบไม่มีทางเสียเปรียบอีกฝั่ง.. มันคือ Liverpool way ที่เราได้เห็นมาตลอด
แน่นอนว่าปลายทางจะเป็นอย่างไรคงไม่มีใครรู้ สถิติทั้งหลายที่ แม็ค อัลลิสเตอร์ ทำขึ้นที่ไบรท์ตันนั้นไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ ที่แอนฟิลด์ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นการทำงานที่รอบคอบที่สุดและมีความเสี่ยงน้อยที่สุดในการลงตลาด
งานใหม่ของลิเวอร์พูลเริ่มตั้งแต่งานเก่ายังไม่จบ.. และมันจะยังเดินหน้าต่อไป
ซัมเมอร์นี้เดอะค็อปยังน่าจะได้ต้อนรับสมาชิกใหม่เพิ่มเติมอีกนะครับ จะเป็นใครก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันจะยังเกิดขึ้นในแนวทางการเสาะหาแบบที่เป็นลิเวอร์พูลเวย์..
ตังกุย