จบไปอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2022/2023 โดย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สร้างความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ได้สำเร็จ พร้อมทั้งเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ติดต่อกันของพวกเขา ขณะที่ อาร์เซน่อล ต้องจมน้ำตาที่ชวดแชมป์ทั้งๆ ที่ครองจ่าฝูงมานานเกือบทั้งซีซั่น ด้าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุค เอริค เทน ฮาก ถือว่ายอดเยี่ยมการจบอันดับ 3 พร้อมแชมป์คาราบาว คัพ ถือว่าเกินเป้าหมาย แต่ที่น่าผิดหวังคงหนีไม่พ้น ลิเวอร์พูล เพราะหากไม่นับสกอร์แดงเดือดถล่ม "ผีแดง" 7-0 ที่เหลือไม่มีอะไรน่าจดจำเลยจริงๆ
1. พรีเมียร์ลีกไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้หากเปรียบเทียบกับเมื่อซีซั่นที่แล้ว โดยเฉพาะสโมสรยักษ์ใหญ่หลายทีมที่ทำผลงานได้น่าผิดหวัง
หากไม่นับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่คว้าแชมป์ทีมท็อปโฟร์เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาหายหน้าไปหมด โดย ลิเวอร์พูล ซึ่งคว้ารองแชมป์เมื่อปีที่แล้ว แต่ซีซั่นปัจจุบันร่วงไปอยู่อันดับ 5 ขณะที่ เชลซี หนักกว่าพวกเขาร่วมกราวรูดจากอันดับ 3 ไปอยู่อันดับ 12 สำหรับ สเปอร์ส ที่รั้งอันดับ 4 แต่ได้ที่ 8 ในฤดูกาลนี้
สำหรับ อาร์เซน่อล ทีมอันดับ 5 เมื่อซีซั่นที่แล้ว แต่ฤดูกาลนี้ฟอร์มสุดยอดถึงขนาดรั้งจ่าฝูงตั้งแต่แต่มาพลาดช่วงโค้งสุดท้ายก็เลยได้แค่อันดับ 2 กระนั้นสิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับ "ไอ้ปืนใหญ่" ก็คือพวกเขาใช้ผู้เล่นอายุน้อยเป็นแกนหลัก และเชื่อว่าประสบการณ์ที่ได้รับจะพัฒนาทีมให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่านี้
กระนั้นผลงานที่ยอดเยี่ยมของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ต้องบอกว่าสุดยอดมากๆ เพราะหลังจาก 1 ปีผ่านมาพวกเขากระโดดจากอันดับ 11 ขึ้นมาติดท็อปโฟร์ เช่นเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จบอันดับ 3 ทั้งๆ ที่ซีซั่นที่แล้วพวกเขาได้ที่ 6 เท่านั้น
ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน (จากอันดับ 9 ขึ้นไปอยู่ที่ 6), แอสตัน วิลล่า (จาก 14 ไปอยู่ที่ 7) ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าทีมเหล่านี้มีพัฒนาการอย่างมาก และพวกเขายังได้รับรางวัลแห่งความพยายามด้วยการได้ไปเล่นในฟุตบอลถ้วยยุโรปด้วย
ฉะนั้นในฤดูกาลหน้า อาจจะมีปรากฎการณ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะในเรื่องการลุ้นแชมป์ และท็อปโฟร์ น่าจะมีความเข้มข้นมากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะหลายๆ ทีมคงมีการเสริมทัพเพื่อหวังสร้างผลงานล้มยักษ์ แมนฯ ซิตี้ ให้ได้
2. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์สามสมัยติดต่อกัน
ในช่วงต้นฤดูกาล เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้จิ๊กซอว์สำคัญนั่นก็คือ เออร์ลิง ฮาลันด์ มาร่วมทัพ แต่กระนั้นฟอร์มของพวกเขาอาจจะไม่ค่อยสมบูรณ์มากนัก เพราะทีมมีอาการสะดุดในบางช่วง จนเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาโดน อาร์เซน่อล ยึดจ่าฝูงมาตลอด
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2023 ทัพ "เรือใบสีฟ้า" ทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง เล่นด้วยฟอร์มที่คงเส้นคงวา และเก็บชัยชนะเป็นว่าเล่น โดยนับตั้งแต่ที่เสมอกับ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ 1-1 ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากนั้นพวกเขาสะกดคำว่าเสมอ กับ แพ้ ไม่เป็นอีกเลย จนเข้าป้ายคว้าแชมป์จึงค่อยปล่อยคันเร่ง
สำหรับตอนนี้ เป๊ป แอนด์ โค. สร้างประวัติศาสตร์ให้กับสโมสรด้วยการคว้าแชมป์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน และยังเป็นแชมป์สมัยที่ 5 ในรอบ 6 ปีด้วย นอกจากนี้ทีมยังมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่รออยู่อีก 2 รายการ
พวกเขาจะต้องปะทะกับคู่อริร่วมเมือง "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบชิงชนะเลิศ ศึกเอฟเอ คัพ และพบกับ "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน ในนัดชิง ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ลองนึกดูว่ามันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนหาก แมนฯ ซิตี้ คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ เพราะนั่นเป็นการทาบรัศมี แมนฯ ยูฯ ที่เคยทำได้เมื่อปี 1999 ยุคที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุมบังเหียน
3. อาร์เซน่อล ทำผลงานดีแต่ไม่สุด
ต้องยอมรับว่า มิเกล อาร์เตต้า สร้าง อาร์เซน่อล ชุดนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยพวกเขามีแกนหลักเป็นนักเตะอายุน้อย และฟอร์มการเล่นก็ดุดันน่าเกรงขาม อย่างไรก็ตามด้วยประสบการณ์ที่น้อยนิดทำให้ทีมไม่สามารถแบกรับแรงกดดันเอาไว้ได้
"ไอ้ปืนใหญ่" โชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงตั้งแต่เปิดฤดูกาลจนเข้าสู่ช่วงต้นปี 2023 เวลานั้นทีมมีแต้มนำห่าง แมนเชสเตอร์ วิตี้ ถึง 8 คะแนน แต่พอเข้าสู่ช่วงเดือนเมษายนสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแบบดื้อๆ
จากสถิติระบุอย่างชัดเจนว่าทัพ "เดอะ กันเนอร์ส" ครองจ่าฝูงถึง 93 เปอร์เซนต์ของซีซั่น แต่น่าเสียดายที่ดันสติแตกในช่วงโค้งสุดท้าย ทำให้ผลงานร่วมกราวรูดจนวืดแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 2 ทศวรรษไปอย่างน่าเสียดาย
นอกจากนี้พวกเขายังมีสถิติที่ไม่น่าจดจำเอาซะเลย เพราะ อาร์เซน่อล รั้งตำแหน่งจ่าฝูงถึง 248 วันแต่กลับได้แค่รองแชมป์ ซึ่งเป็นการทำลายสถิติวงการลูกหนังเมืองผู้ดีในฐานะทีมที่ครองจ่าฝูงนานที่สุดแต่ชวดแชมป์ !!
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่สาวก "เดอะ กันเนอร์ส" ควรจะแฮปปี้ นั่นก็คืออย่างน้อยพวกเขาก็ได้หวนกลับสู่การเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรกในรอบ 7 ปี
4. สติแตก โรนัลโด้
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หวนกลับมาเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาลที่แล้ว พร้อมกับความคาดหวังมากมาย แต่สุดท้ายทีมกับไม่ได้รับอะไรเลย แถมชวดตำแหน่งท็อปโฟร์ด้วย ซึ่งนับตั้งแต่ตอนนั้นก็เกิดคลื่นใต้น้ำมากมายภายในทีม
จนกระทั่ง เอริค เทน ฮาก ก้าวเข้ามากุมบังเหียน เขากล้าที่จะงัดข้อกับ โรนัลโด้ โดยไม่เกรงกลัวบารมีความเป็นตำนานของ "เฮียโด้" และพร้อมที่จะดร็อปนักเตะหากไม่ปฏิบัติตามที่สั่ง
เรื่องกินแหนงแคลงใจระหว่าง "ซีอาร์ เซเว่น" กับ เทน ฮาก มีออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นเมื่อนักเตะตัดสินใจให้สัมภาษณ์กับ เพียร์ส มอร์แกน พิธีกรชื่อดัง โจมตีสโมสรและกุนซือชาวดัตช์อย่างรุนแรง
การออกมาสาวไส้แมนฯ ยูไนเต็ด แบบไม่ไว้หน้า ทำให้สโมสร และ กัปตันทีมชาติโปรตุเกส จบช่วงเวลาฮันนีมูนที่แสนหอมหวาน แต่ทั้งสองฝ่ายตัดสินใจจบทุกอย่างด้วยการยกเลิกสัญญา ต่างฝ่ายต่างเดินตามเส้นทางของตัวเอง
สุดท้าย โรนัลโด้ เลือกย้ายไปรับทรัพย์มหาศาลกับ อัล-นาสเซอร์ ในศึกซาอุดิ โปรลีก แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเพราะนักเตะก็มีปัญหากับทีมและแฟนบอล แถมล่าสุดทีมยังชวดแชมป์ด้วย
ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นับตั้งแต่ที่ โรนัลโด้ จากไป พวกเขาก็ฟอร์มดีวันดีคืน ทั้งคว้าแชมป์คาราบาว คัพ, ติดท็อปโฟร์ แถมยังทะลุชิง ศึกเอฟเอ คัพ กับ แมนฯ ซิตี้ ด้วย
5. แมนยู 7-0 พูนสวัสดิ์
นี่คือโมเมนต์ที่น่าจดจำสำหรับแฟนบอลทั่วโลก ยกเว้นสาวก "เร้ด อาร์มี่" ! เพราะสกอร์ 7-0 ที่แพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล คู่อริตลอดกาลเป็นสิ่งที่น่าอับอายอย่างยิ่งสำหรับสโมสรที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ทัดเทียมกับ "หงส์แดง"
ลิเวอร์พูล เริ่มต้นฤดูกาลนี้ได้น่าผิดหวังที่สุด ที่สำคัญพวกเขายังแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกมแรกที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ขณะที่ฟอร์มของ "ผีแดง" ในยุค เทน ฮาก ทั้งอันตรายและเฉียบคมอย่างมาก
สำหรับเกม "แดงเดือด" ที่แอนฟิลด์ หลายคนเชื่อว่า แมนฯ ยูฯ ไม่มีทางแพ้ อย่างแย่ที่สุดก็คือเสมอ แต่เมื่อลงสนามทุกอย่างกลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง เพราะกลายเป็น "เดอะ เร้ดส์" ที่โชว์ฟอร์มระเบิดเถิดเทิง ยิงกระจุย แมนฯ ยูฯ จนหาทางกลับบ้านไม่เจอ !!
ยิ่งไปกว่านั้น 2 นักเตะที่ "ปีศาจแดง" อยากได้อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ และ โคดี้ กัคโป ช่วยกันซัดคนละสองประตูซะด้วย ยิ่งไปการตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับแฟนบอลของพวกเขาเป็นทวีคูณ
สำหรับสกอร์ดังกล่าวถือเป็นผลแพ้ชนะที่มีผลต่างห่างกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศึก "แดงเดือด" แทนที่สถิติเดิม ซึ่ง "หงส์แดง" ถลุง แมนฯ ยูฯ 7-1 ในศึกดิวิชั่น 2 (เดิม) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ปี 1895 หรือเมื่อ 128 ปีก่อน
พูดกันแบบไม่เกรงใจสาวก "เดอะ ค็อป" เลยนะ ถ้าไม่มีสกอร์แบบนี้ บอกเลยว่า ลิเวอร์พูล แทบไม่มีอะไรน่าจดจำในซีซั่นนี้เลยจริงๆ
6. การลงทุนที่ไร้ค่าของ เชลซี
ท็อดด์ โบห์ลี่ ก้าวเข้ามาเป็นเจ้าของคนใหม่ของ เชลซี พร้อมกับความมุ่งมั่นใจจะนำสโมสรประสบความสำเร็จเหมือนกับที่ "เสี่ยหมี" โรมัน อบราโมวิช เคยทำเอาไว้ แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง
อภิมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน มีความตั้งใจที่จะทุ่มเงินเพื่อหวังใช้ซื้อความสำเร็จแบบรวดเร็วทันใจ เหมือนที่หลายๆ ทีมนิยมทำกัน แต่มันไม่ได้ง่ายสำหรับในศึกพรีเมียร์ลีก เพราะที่นี่ทุกๆ ทีมสามารถแพ้ชนะได้ตลอดเวลา
ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา และตลาดนักเตะฤดูกาลหนาว "เสี่ยท็อดด์" เซ็นเช็คให้ เชลซี ไปแล้วเบ็ดเสร็จกว่า 611 ล้านยูโร (ราว 25,662 ล้านบาท) เพื่อดึงนักเตะ 16 คนมาสู่ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์
สวนทางกลับรายได้ที่หามาจากการขายผู้เล่นซึ่งทำเงินเพียง 68 ล้านยูโร (ราว 2,856 ล้านบาท) เท่านั้น เพราะฉะนั้นเสี่ยเมืองลุงแซมใช้เงินไปมากกว่าครึ่งพันล้านยูโรเพื่อช่วยให้ทีมกลับมาสู่สถานะยักษ์ใหญ่อีกครั้ง
แต่หลังจากนั้นทุกอย่างกลับตาลปัตรเพราะมันเต็มไปด้วยความผิดหวัง พวกเขาจบอันดับ 12 ในตารางลีก และยังร่วงตกรอบฟุตบอลถ้วยทุกรายการตั้งแต่ไก่โห่ นอกจากจะซื้อนักเตะมาเยอะแล้ว สโมสรยังเป็นโค้ช 4 คนในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาด้วย
สำหรับสตาร์ค่าตัวแพงที่ทำผลงานได้น่าผิดหวังมีมากมายรวมทั้ง มาร์ค กูกูเรย่า, คาลิดู คูลิบาลี่, มิไคโล มูดริก และ ปิแอร์ เอเมริค โอบาเมยอง ซึ่งพวกเขามีชื่อติดทีมยอดแย่ประจำซีซั่นนี้ด้วย
7. ฮาลันด์ ปรากฎการณ์โลกตะลึง
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีก 3 ซีซั่นติดต่อกัน ขณะที่ เออร์ลิง ฮาลันด์ ก็สร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเองสำหรับการเล่นในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีฤดูกาลแรกด้วย
เฉพาะแค่ในพรีเมียร์ลีก หัวหอกทีมชาตินอร์เวย์ ตะบันไปถึง 36 ประตูคว้าตำแหน่งดาวซัลโซไปครอบครองแบบสบายอุรา ที่สำคัญยังทำลายสถิติของ แอนดี้ โคล ตำนานแมนฯ ยูไนเต็ด ในการยิงประตูมากสุดต่อซีซั่น (34 ประตู)
ถ้าหากนับประตูจากการเล่นในทุกรายการ ขอบอกว่า กองหน้าวัย 22 ปี ซัดไปถึง 52 ประตูเลยทีเดียว ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขากวาดรางวัลส่วนตัวทั้งแข้งยอดเยี่ยม, ดาวรุ่งยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก และนักเตะแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (เอฟดับเบิ้ลยูเอ)
ความสุดยอดของ ฮาลันด์ ทำให้หลายคนหวนนึกถึง โรนัลโด้ ในช่วงที่พีคสุดขีด โดยทั้งสองคนมีทั้งรูปร่างที่สูงใหญ่แข็งแกร่ง, เล่นด้วยความมุ่งมั่นและคิดตลอดเวลา นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับโภชนาการ, การออกกำลังกาย, การใช้ชีวิต ซึ่งทั้งสองคนทุ่มเททั้งหมดนี้เพื่อเกมฟุตบอลอย่างแท้จริง
8. เทน ฮาก ผู้เปลี่ยนแปลง
แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องกรำกลืนฝืนทนกับการต้องเห็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ช่วงชิงความยิ่งใหญ่กันมานานหลายปี โดยในฤดูกาลนี้การที่พวกเขาได้ เอริค เทน ฮาก เข้ามากุมบังเหียน ก็คาดหวังว่าทีมจะพอลืมตาอ้าปากกับเขาได้บ้าง
กระนั้นแค่สองเกมแรกสาวก "เร้ด อาร์มี่" ก็ต้องกุมขมับเมื่อทีมแพ้ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน คาบ้าน จากนั้นก็แพ้ยับ เบรนท์ฟอร์ด แต่สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อทีมเฉือนชนะ ลิเวอร์พูล หลังจากนั้นผลงานของ แมนฯ ยูฯ ก็กระเตื้องขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม นี่คือทีมที่ เทน ฮาก เพิ่งจะเข้ามาปรับจูน จึงยังขาดความสม่ำเสมอในการเล่น อย่างไรก็ตามพวกเขายังสามารถรักษาฟอร์มได้ดีจนในที่สุดก็คว้าแชมป์คาราบาว คัพ และจบอันดับท็อปโฟร์ แถมยังมีลุ้นแชมป์เอฟเอ คัพ ด้วย แต่ต้องถาม แมนฯ ซิตี้ ในเกมนัดชิง ที่สนามเวมบลีย์ วันเสาร์นี้
สำหรับผลงานในฤดูกาลแรกของ เทน ฮาก ต้องบอกเลยว่า แมนฯ ยูฯ กลายเป็นทีมใหม่แบบผิดหูผิดตา ทั้งฟอร์มการเล่น สปิริตของนักเตะ และสไตล์ที่บุกสนุกเร้าใจ แถมเกมรับก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
การได้นักเตะใหม่อย่าง กาเซมีโร่, ลิซานโดร มาร์ติเนซ, ไทเรลล์ มาลาเซีย, คริสเตียน เอริคเซ่น และ อันโตนี่ ทำให้ แมนฯ ยูฯ โดดเด่นขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ขณะเดียวกัน เทน ฮาก ยังสามารถดึงศักยภาพนักเตะหลายๆ คนอย่าง ลุค ชอว์ และ อารอน วาน-บิสซาก้า ออกมาได้อย่างเต็มที่
เช่นเดียวกัน มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่กลายเป็นที่พึ่งในการยิงประตูได้อย่างสุดยอด ขณะที่ เจดอน ซานโช่ แม้ช่วงแรกๆ อาจต้องปรับสภาพจิตใจบ้าง แต่หลังจากนั้นก็ทำผลงานได้ดีขึ้น สำหรับ ดาบิด เด เคอา ถึงจะทำผิดพลาดจนโดนวิจารณ์เยอะ แต่สุดท้ายก็จบด้วยการทำ 17 คลีนชีต คว้าโกลยอดเยี่ยมประจำซีซั่น
9. เลสเตอร์ จากทีมแชมเปี้ยนส์ ลีก สู่แชมเปี้ยนชิพ
ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับแฟนฟุตบอลชาวไทยที่เห็น เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องโบกมือลาพรีเมียร์ลีก หลังจากสร้างความสุขให้กับคอลูกหนังแดนสยามมานานหลายซีซั่น โดยเฉพาะการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015/2016
"เดอะ ฟ็อกซ์" ทำผลงานได้น่าผิดหวังตั้งแต่ต้นซีซั่น จนเป็นเหตุให้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ต้องกระเด็นออกจากตำแหน่ง โดยหลังจากที่ได้ ดีน สมิธ เข้ามารับเผือกร้อน เขาพยายามเข็นฟอร์มทีมออกมาอย่างเต็มที่แล้ว แต่สุดท้ายไม่สำเร็จต้องโบกมือบ๊ายบายลีกสูงสุดเรียบร้อย
สำหรับตอนนี้ ยอดทีมแห่งถิ่นคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม เดินตามรอย แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ซึ่งคว้าแชมป์ลีก ในฤดูกาล 1994/1995 ที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก และต้องร่วงไปเล่นในศึกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ
แม้ว่า เลสเตอร์ ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ก็ตาม แต่ถ้าพวกเขายังสามารถรักษาขุมกำลังที่มีอยู่เอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โอกาสที่จะหวนคืนสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งภายในเวลาซีซั่นเดียวก็เป็นไปได้เช่นกัน
10. ผีพนัน โทนีย์
เป็นเรื่องที่ฉาวสนั่นวงการลูกหนังเมืองผู้ดีอย่างมากเมื่อสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) สั่งแบน ไอแวน โทนี่ย์ กองหน้าตัวเก่งของ เบรนท์ฟอร์ด ยาว 8 เดือนหลังยอมรับข้อกล่าวหาเล่นฟุตบอลฟุตบอล
โทนี่ย์ละเมิดกฏเล่นพนันฟุตบอลสมัยที่ย้ายจาก นิวคาสเซิ่ล ไปเล่นให้ สคันธอร์ป แบบยืมตัวเมื่อปี 2017 โดยเขาถูกระบุว่าทำผิด 232 ครั้ง และถัดมาในเดือนธ.ค. เอฟเอ แจ้งอีกว่ากองหน้าผิวสีทำผิดเพิ่มอีก 30 ครั้ง
นอกจากจะโดนแบนยาวโลกลืมแล้ว สมาคมลูกหนังเมืองผู้ดี ยังประกาศปรับเงินดาวยิงวัย 27 ปีเป็นจำนวน 50,000 ปอนด์ (ราว 2.1 ล้านบาท) เพื่อให้สาสมกับพฤติกรรมแหกกฎของเขา
ขณะเดียวกัน เอฟเอ ได้แจ้งเหตุผลที่แบนยาว โทนี่ย์ ว่า เคยวางเดิมพัน 13 แบบว่าทีมของเขาจะแพ้ใน 7 เกม ในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม ปี 2017 ไปจนถึงเดือนมีนาคม ปี 2018 ซึ่งในจำนวนนั้นมีการพนัน 11 ครั้งที่เกิดขึ้นกับ นิวคาสเซิ่ล และ 2 อันที่เขาวางเดิมพันกับ วีแกน ทีมที่เขาไปเล่นให้ด้วยสัญญายืมตัว
แม้ว่าเกมเหล่านั้น โทนี่ย์ จะไม่ได้ลงสนามแต่ก็ถือว่าผิดกฎอยู่ดี ที่สำคัญ เอฟเอ ตั้งใจจะแบนเขายาวถึง 11 เดือนด้วยซ้ำ แต่เห็นว่ามีประวัติดี, สำนึกผิด ทำให้ลดโทษเหลือ 8 เดือนเท่านั้น
ทอมเม้ง