ลิเวอร์พูล เกือบเสียหน้าส่งท้ายในเกมปิดซีซั่น พรีเมียร์ลีก 2022/23 อยู่รอมร่อเมื่อบุกไปต่อกรกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมที่ตกชั้นไปแล้วที่สังเวียนแข้ง เซนต์ แมรีส์ สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 พ.ค. แต่ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ต้องเป็นฝ่ายไล่ตีเสมอ นักบุญ รอดพ้นจากการขายหน้าไปได้
จะอย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือซีซั่นที่เลวร้ายของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เนื่องจากไม่เพียง หงส์แดง จะไม่มีแชมป์ติดมือ พวกเขายังต้องหล่นไปเล่นถ้วย ยูโรปาลีก ในซีซั่นหน้าอีกด้วยอันแสดงให้เห็นว่ามาตรฐานของ เร้ด แมชีน ตกลงไปมากพอสมควร
1. นักบุญปรับทีมตำแหน่งเดียว
เซาธ์แฮมป์ตัน ซึ่งตกลงสู่ แชมเปี้ยนชิพ ในซีซั่นหน้าอย่างแน่นอนแล้ว และจะเป็นเกมสุดท้ายของกุนซือ รูเบน เซเยส ก่อนผละไปจากถิ่น เซนต์ แมรีส์ สเตเดี้ยม เปลี่ยนทีม 11 คนแรกแค่รายเดียวเท่านั้น
สำหรับตำแหน่งดังกล่าว โจ อาริโบ กองกลาง ไนจีเรีย หล่นไปนั่งข้างสนามโดยมี คามัลดีน ซูเลมาน่า มิดฟิลด์ กาน่า ได้ออกสตาร์ต
2. หงส์โรเตชั่นบาน
ลิเวอร์พูล ปรับโผมากถึงเจ็ดตำแหน่งเนื่องจากไม่มีลุ้นอะไรอีกแล้วในเกมปิดซีซั่น และส่ง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่จะย้ายทีมในซัมเมอร์นี้ออกสตาร์ต
นอกจากนี้ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ประตูมือสองก็ได้เฝ้าเสา ขณะที่คู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟเปลี่ยนมาเป็น โฌแอล มาติป กับ โจ โกเมซ โดยมี คอสตาส ซิมิคาส ได้เล่นเป็นแบ็คซ้ายเนื่องจาก แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน บาดเจ็บ
ขณะเดียวกัน ในแดนกลาง เจมส์ มิลเนอร์ ได้ลงสนามในเกมทิ้งทวนกับสโมสรก่อนย้ายสังกัดอีกราย และได้สวมปลอกแขนกัปตันแทนที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
สำหรับ ดาร์วิน นูนเญซ สตาร์ทีมชาติ อุรุกวัย ซึ่งหายหน้าไปในสองเกมหลังไม่มีส่วนร่วมอีกตามเคยเนื่องจากยังเจ็บเท้าไม่หาย
3. มิลเนอร์ เข้าทำเนียบ
จากการมีชื่อลงเล่นเกมปิดซีซั่น ส่งผลให้ มิลเนอร์ ได้สัมผัสเกมรูดม่านเป็นนัดที่ 16 แล้วซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดร่วมของ พรีเมียร์ลีก เลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้ มีดาวเตะรวมสี่รายที่ได้ลงบู๊ในนัดปิดซีซั่นของ พรีเมียร์ลีก 16 ครั้งเท่ากันซึ่งประกอบไปด้วย ไรอัน กิ๊กส์ , พอล สโคลส์ , เจมี่ คาร์ราเกอร์ และ แกเร็ธ แบร์รี่
4. สี่ประตูในครึ่งแรก
ไม่ใช่ครึ่งแรกที่ดีสำหรับ ลิเวอร์พูล เพราะทั้งๆที่พวกเขาเริ่มต้นได้อย่างน่าฮือฮา และนำเร็วถึงสองสกอร์จาก ดีโอโก้ โชต้า และ ฟีร์มิโน่ ซึ่งซัดประตูที่ 111 ของเขากับสโมสรได้ในทุกรายการในช่วง 14 นาทีแรก แต่สุดท้าย หงส์แดง ก็ฟอร์มแผ่วลงไปเป็นลำดับ และเสียสองประตูคืนให้กับ เดอะ เซนต์ส อย่างน่าตกตะลึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โม ซาลาห์ กองหน้าตัวฉกาจของอาคันตุกะแทบไม่มีบทบาทเอาซะเลยทั้งๆที่เชื่อว่าเขาน่าจะคลำเป้าได้ในการบุกมาเยือน นักบุญ ที่ตกสวรรค์ไปแล้ว และเสียประตูมากเป็นอันดับสองของลีกรองจาก ลีดส์ ทีมรองบ๊วยด้วย
รวมสถิติหลังจบ 45 นาทีแรก เร้ด แมชีน เหนือกว่าในแง่การครองบอล 65:35% แต่เป็นรองเจ้าบ้านที่ได้โอกาสง้างไกมากกว่า 9:7 ครั้ง แถมส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า เครื่องจักรสีแดง 6:2 ครั้งอีกต่างหาก
อย่างไรก็ดี มันอาจเป็นเหมือนที่ คล็อปป์ เอ่ยเอาไว้ก่อนเกมแล้วว่าเขาไม่คุ้นชินกับการคุมทีมลงเล่นนัดปิดซีซั่นโดยที่ไม่มีลุ้นอะไรแล้ว และอาจทำให้นักเตะขาดแรงจูงใจแม้ว่าจะออกสตาร์ตได้ดี ผิดกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่เล่นเพื่อแฟนตัวเองในเกมสั่งลา พรีเมียร์ลีก โดยพวกเขาต้องการมอบบางอย่างตอบแทนสาวก
5. อีกสี่ประตูในครึ่งหลัง
กลับสู่ครึ่งหลัง เกมพลิกไปอีกทางเมื่อ นักบุญ เปิดหัวนำเร็วก่อนบ้าง แถมฉีกหนีไปเป็น 4-2 ซะด้วยจนทำเอา คล็อปป์ นั่งไม่ติดเก้าอี้
แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าบ้านก็ไม่ดีพอที่จะทำให้แฟนบอลได้เฮในเกมสั่งลาลีกสูงสุด หาไม่แล้วพวกเขาคงไม่ตกชั้น และในที่สุดก็โดน ลิเวอร์พูล เร่งเกมยิงประตูคืนสองเม็ดได้เช่นกัน ก่อนลงเอยด้วยการเสมอกันไปแบบมโหฬาร 4-4
ครบ 90 นาที ทีมเยือนยังครองบอลได้เหนือกว่า 69:31% และพลิกกลับมาแซงในด้านโอกาสคลำเป้า 30:15 ครั้ง ทว่า นักบุญ ส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 10:8 ครั้ง
จึงเป็นอันว่า เร้ด แมชีน ปิดฉากซีซั่น 2022/23 ได้แบบไม่สวยหรูเท่าที่ควร แม้จะโชว์ความเป็นม้าตีนปลายกำชัยได้อย่างต่อเนื่องเจ็ดนัดรวดจนมีลุ้นแย่งอันดับท็อปโฟร์ แต่หลังจากผิดหวังก็เป็นธรรมดาที่นักเตะจะถอดใจ และทำได้แค่เสมอในสองเกมสุดท้ายเพราะยังไงซะหากยังมีลุ้น เกมบุกมาเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน ก็แทบการันตีสามแต้มได้แบบเห็นๆเนื่องจากทีมของ คล็อปป์ จะเอาตายน้องใหม่ใน แชมเปี้ยนชิพ อย่างแน่นอน
ถึงขั้นนี้ซึ่ง ลิเวอร์พูล จะโละนักเตะออกไปหลายรายในช่วงซัมเมอร์เพื่อสร้างทีมขึ้นมาใหม่ ว่ากันว่าพวกเขามีแววได้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ มาจาก ไบรท์ตัน ค่อนข้างแน่ แต่ก็ต้องรอดูกันต่อว่าจะมีใครย้ายมาสมบทดาวเตะทีมชาติ อาร์เจนติน่า อีกหรือเปล่าหากข่าวพัวพันกับสตาร์ทีม นกนางนวล สามารถเชื่อถือได้จริง
แต่ขณะเดียวกัน คล็อปป์ มีงานให้ต้องทำในช่วงปิดซีซั่นมากเป็นภูเขาเลากาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพราะนี่คือซีซั่นที่เลวร้ายที่สุดของเขากับ ลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะวัดกันที่จำนวนแต้มในอันดับตาราง หรือความสำเร็จ
แรกทีเดียว กุนซือด๊อยช์ถูกฉุดมาคุมทีมในซีซั่น 2015/16 แต่เป็นเดือนต.ค.แทนที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส หลังจากซีซั่นออกสตาร์ตกันไปแล้ว และมันจบลงโดย ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 8 ของ พรีเมียร์ลีก โดยพวกเขาเก็บได้ 60 แต้ม
อย่างไรก็ดี หากจะยึดเอาซีซั่นแบบเต็มเทอมเป็นที่ตั้ง คล็อปป์ มีผลงานที่เลวร้ายที่สุดกับ หงส์แดง ในซีซั่น 2020/21 ซึ่ง เครื่องจักรสีแดง ได้อันดับสาม คว้าสิทธิ์ลงเล่นถ้วยหูใหญ่ได้ก็จริง แต่ทีมของนายใหญ่จากแดนไส้กรอกเก็บได้แค่ 69 แต้มโดยไม่มีโทรฟี่ ขณะที่ซีซั่นนี้เขาพาทีมคว้ามาได้แค่ 67 แต้ม และจบอันดับห้าของตาราง