เป็นอันว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หักอก อาร์เซน่อล พาทีม แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยที่สามติดต่อกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ทีมจาก เอติฮัด สเตเดี้ยม สร้างผลงานดังกล่าวได้
ทั้งๆที่เคยตามหลังทีม ปืนใหญ่ ไกลถึงแปดแต้มช่วงกลางเดือนม.ค. แต่ในที่สุด เรือใบสีฟ้า ก็เก็บแต้มแซงหน้าทีมเมืองกรุงเข้าเส้นชัยได้อย่างสง่าผ่าเผยชนิดที่ไม่ต้องไปลุ้นกันในนัดปิดซีซั่นด้วยเนื่องจากทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ออกอาการแผ่วปลายเหมือนท้ายซีซั่นก่อนไม่มีผิด และส่งผลให้แชมป์เก่าป้องกันโทรฟี่ได้สำเร็จโดยที่พวกเขายังเหลือเกมให้ลงสนามอีกสามนัดด้วยกัน
และในที่สุด แมนฯ ซิตี้ ก็ไม่พลาดการฉลองแชมป์ด้วยการเปิดบ้านเฉือนชนะ เชลซี ก่อนมีคิวบุกไปเยือน ไบรท์ตัน และ เบรนท์ฟอร์ด ในอีกสองนัดสุดท้าย
ถึงขณะนี้ เรือใบสีฟ้า ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยที่เจ็ดแล้ว และเป็นสมัยที่ห้าในยุคของ กวาร์ดิโอล่า
หากแต่เหตุไฉน แมนฯ ซิตี้ จึงประสบความสำเร็จในซีซั่นนี้ เราลองไปหาคำตอบกันหน่อยดีกว่า
1. เซ็นสัญญากับ ฮาลันด์
อาจบอกได้เลยว่า แมนฯ ซิตี้ ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก ตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. 2022 แล้วเนื่องจากมันเป็นวันที่พวกเขาเซ็นสัญญากับ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ กองหน้าทีมชาติ นอรเวย์
"ผมมั่นใจว่าเราจะมีเวลาที่ดีร่วมกัน เมื่อผมสนุกกับการยิงประตู ผมก็จะพาทีมชนะ" อดีตสตาร์ทีม ดอร์ทมุนด์ เปิดปากกับสาวก เรือใบสีฟ้า
ย้อนเวลากลับไปเมื่อซีซั่นก่อน แมนฯ ซิตี้ เฉือนชนะ ลิเวอร์พูล แค่แต้มเดียวต่อการหยิบแชมป์ไปครองเนื่องจากพวกเขาไม่มีหัวหอกชั้นยอด และทำให้ เควิน เดอ บรอยน์ รั้งตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของสโมสร
จนในที่สุด ทีมเงินถังได้ตัวดาวยิงร่างยักษ์ที่สอยตาข่ายได้ 49 ประตูในสองซีซั่นของเขากับ บุนเดสลีกา มาเสริมศักยภาพ แถม ฮาลันด์ ระเบิดฟอร์มในลีกอังกฤษได้ร้อนแรงมากขึ้นด้วยจากการทำลายสถิติต่างๆเป็นว่าเล่น
2. ประกาศศักดาในเกมดาร์บี้แมตช์
แมนฯ ซิตี้ โชว์ฟอร์ในเกมดาร์บี้แมตช์นัดแรกของซีซั่นได้อย่างหฤโหดด้วยการถล่ม แมนฯ ยูไนเต็ด แบบไม่ปราณี 6-3
และเป็นเกมนี้เช่นกันที่ ฮาลันด์ คายพิษสงได้อย่างร้ายกาจจากการซัดแฮททริค และผ่านบอลให้ ฟิล โฟเด้น กดอีกสองประตู
ต่อผลลัพธ์ดังกล่าว แฟนบอล ผีแดง ไม่อาจทนดูจนจบเกมได้ และพากันเดินออกจาก เอติฮัด สเตเดี้ยม ตั้งแต่เนิ่นๆอันเป็นเกมที่ เรือใบสีฟ้า ประกาศเตือนทีมชั้นนำทั้งหลายใน พรีเมียร์ลีก ได้อย่างชัดเจนเป็นที่สุด
3. คัมแบ็คสยบ สเปอร์ส
แมนฯ ซิตี้ เริ่มต้นปี 2023 ได้อย่างเลวร้ายด้วยการเสมอในบ้านกับ เอฟเวอร์ตัน 1-1 ในวันส่งท้ายปีเก่าก่อนโดน เซาธ์แฮมป์ตัน เขี่ยตกรอบถ้วย คาราบาวคัพ แถมบุกไปแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วย
จากนั้นพวกเขาก็ต้องต้อนรับ สเปอร์ส ในระหว่างที่ตามหลัง อาร์เซน่อล แปดแต้ม และไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นฟอร์มเนื่องจากตกเป็นรอง 2-0 ในช่วงครึ่งแรกจนทำให้แฟนบอลส่งเสียงโห่ แต่ครึ่งหลัง กวาร์ดิโอล่า จัดการพลิกสถานการณ์ได้โดย แมนฯ ซิตี้ แซงชนะ 4-2 จากประตูของ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ , ฮาลันด์ และ ริยาด มาห์เรซ
หลังจบเกม กวาร์ดิโอล่า จวกนักเตะผ่านสื่อถึงฟอร์มที่ย่ำแย่ แต่กลายเป็นว่าลูกทีมแสดงปฏิกริยาให้เห็น และนับจากวันนั้น แมนฯ ซิตี้ ทำแต้มหล่นเพิ่มอีกแค่ห้าแต้มเท่านั้น
4. กำจัด กานเซโล่
ทำเอาใครต่อใครงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อช่วงปลายเดือนม.ค. แมนฯ ซิตี้ โละ ชูเอา กานเซโล่ ให้ บาเยิร์น มิวนิค ยืมตัวทั้งๆที่แบ็คซ้ายทีมชาติ โปรตุเกส เป็นหนึ่งในนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดของทีมในสองซีซั่นที่ผ่านมา แถมออกสตาร์ตซีซั่นนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน
กระนั้นก็ดี เป็นเพราะ กานเซโล่ ไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่ของเจ้านายกาตาลันที่เน้น ฮาลันด์ เป็นศูนย์กลางได้ เขาจึงเสียตำแหน่งให้กับ นาธาน อาเก้ และแทนที่จะปล่อยให้นักเตะอยู่กับทีมต่อไป กวาร์ดิโอล่า เลือกส่งเขาให้กับ เสือใต้ โดยไม่แยแสว่ามันจะเป็นการเพิ่มเขี้ยวเล็บให้กับศัตรูในถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก
ตรงนี้เองที่แสดงให้เห็นถึงจุดแข็งของ กวาร์ดิโอล่า ที่มั่นใจในการตัดสินใจของตัวเอง และเพื่อต้องการประกาศให้เห็นถึงความเป็นเจ้านายที่ไม่สมควรมีใครมาตั้งคำถามเขา แถมหลังจาก กานเซโล่ ย้ายออกไป ทั้ง อาเก้ และ มานูเอล อาคันจี ต่างก็สวมบทแบ็คซ้ายตัวในได้อย่างสมบูรณ์แบบ
5. ถูก พรีเมียร์ลีก ตั้งข้อหา
โลกลูกหนังตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อมีข่าวใหญ่วันที่ 6 ก.พ. แจ้งว่า พรีเมียร์ลีก ตั้งข้อหา แมนฯ ซิตี้ หลายกระทงจากการละเมิดกฏการใช้จ่ายระหว่างปี 2009-2018 ซึ่ง เรือใบสีฟ้า เสี่ยงต่อการถูกริบแชมป์ และถูกปรับตกชั้น
หากเป็นทีมอื่นคงอกสั่นขวัญแขวน แต่ แมนฯ ซิตี้ รวมพลังเป็นหนึ่งโดยเฉพาะแฟนบอลชูแผ่นผ้าประท้วง พรีเมียร์ลีก ที่ใช้นักกฏหมายแฟนบอลทีม อาร์เซน่อล เอาผิดพวกเขา
และที่น่าเซอร์ไพรส์อย่างแรงก็คือนับตั้งแต่มีข่าวดังกล่าวปรากฏออกมา ทีมของ กวาร์ดิโอล่า ไม่เคยแพ้อีกเลยในทุกรายการจากการลงบู๊ 23 นัดซึ่งพวกเขาเก็บได้ 40 จาก 42 แต้ม ยกเว้นเกมบุกไปเสมอกับ ฟอเรสต์ 1-1
6. บุกกำราบปืนใหญ่
ปกติแล้วทีมของ กวาร์ดิโอล่า ไม่เคยปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายครองบอลไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครหน้าไหน แต่ แมนฯ ซิตี้ ปล่อยให้ อาร์เซน่อล ครองบอลตามสะดวกในเกมที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ช่วงเดือนก.พ. ซึ่งปรากฏว่าทีมเยือนคลำเป้าได้อย่างเด็ดขาดกว่า
เควิน เดอ บรอยน์ ฉวยจังหวะที่ ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ จ่ายบอลคืนหลังให้ อาร่อน แรมสเดล พลาดซัดให้ทีมเยือนนำก่อน และแม้ บูคาโย่ ซาก้า จะตีเสมอได้ก่อนจบครึ่งแรก แต่ แมนฯ ซิตี้ อาศัยเกมโต้กลับที่เฉียบคมเล่นงานเจ้าบ้านได้โดย แจ็ค กรีลิช รับบอลจาก ฮาลันด์ หลุดเข้าไปยิงให้ทีมเงินถังนำหน้าอีกหน
และในที่สุด ฮาลันด์ ก็ซัดลูกปิดกล่องให้ เรือใบสีฟ้า ขึ้นนำเป็นจ่าฝูงด้วยประตูได้เสียที่เหนือกว่า
7. ขยี้หงส์โดยไม่ต้องพึ่ง ฮาลันด์
ในสี่ปีหลัง ลิเวอร์พูล คือคู่ต่อกรหมายเลขหนึ่งของ แมนฯ ซิตี้ และทั้งสองทีมได้พะบู๊กันช่วงต้นเดือนเม.ย.โดยที่เจ้าบ้านไม่มี ฮาลันด์ ที่บาดเจ็บจากการซ้อมกับทีมชาติซึ่งถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของ เรือใบสีฟ้า ในขณะที่ อาร์เซน่อล ยังนำเป็นจ่าฝูง
ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ บุกมานำก่อนในครึ่งแรกจากฝีเท้าของ โม ซาลาห์ แต่ แมนฯ ซิตี้ ไม่ตื่นตระหนก และได้ อัลวาเรซ ยิงตีเสมอก่อนที่ในครึ่งหลัง เดอ บรอยน์ , อิลคาย กุนโดกัน และ กรีลิช จะดาหน้าซัดให้เจ้าบ้านกำชัย 4-1
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรีลิช ระเบิดฟอร์มได้อย่างเจิดจรัสที่สุดเกมหนึ่งของเขากับ แมนฯ ซิตี้ ทั้งการทำเกมรุกให้ทีม และสปีดตามไปไล่ล่า ซาลาห์ พร้อมทั้งสกัดลูกจ่ายของสตาร์ทีมชาติ อียิปต์ ได้ก่อนที่ ดีโอโก้ โชต้า จะสบโอกาสซัดให้ หงส์แดง หนีห่าง 2-0
8. ปืนใหญ่ แผ่วปลายจนได้
ช่วงต้นเดือนเม.ย. สถานการณ์การแย่งแชมป์ยังอยู่ในกำมือของ อาร์เซน่อล โดย แมนฯ ซิตี้ ต้องลุ้นให้ทีมเมืองหลวงสะดุดล้ม และแม้จะต้องเตรียมตัวบู๊กับ บาเยิร์น มิวนิค ในศึก แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแปดทีมสุดท้าย เรือใบสีฟ้า ยังกำชัยในเกมลีกได้อย่างไม่เป็นปัญหานัดบุกไปเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน และต้อนรับ เลสเตอร์
ในทางกลับกัน ทีม ปืนใหญ่ เริ่มออกอาการไม่สู้ดีเพราะหลังจาก แมนฯ ซิตี้ บุกไปอัด เซาธ์แฮมป์ตัน 4-1 โดยที่ ฮาลันด์ โชว์ลีลายิงลูกจักรยานอากาศ วันต่อมาทีมของ อาร์เตต้า บุกไปเสมอกับ ลิเวอร์พูล 2-2 ที่ แอนฟิลด์ ทั้งๆที่นำหน้าก่อนสองประตู
เท่านั้นไม่พอ อาร์เซน่อล ทิ้งสองแต้มสำคัญอีกจนได้ในเกมบุกไปเสมอกับ เวสต์แฮม 2-2 โดยที่พวกเขานำก่อนสองเม็ดเช่นกัน แถม บูคาโย่ ซาก้า ยิงลูกโทษพลาดด้วย และถัดมา เดอะ กันเนอร์ส ทำได้แค่เสมอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมบ๊วย 3-3 ในบ้านซึ่งเป็นการยื่นแชมป์ให้กับ แมนฯ ซิตี้ ที่แค่เดินหน้ากำชัยชนะให้ได้เท่านั้น
9. เปิดบ้านย้ำแค้น ท็อปกัน ยับเยิน
อาร์เซน่อล บุกมาเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม โดยต้องการสามแต้มเพื่อรักษาโอกาสคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก แต่ไม่กี่นาทีพวกเขาก็ฝันค้างก่อนที่เจ้าบ้านจะกำชัยไปด้วยสกอร์ 4-1
เกมดำเนินไปแค่เจ็ดนาที เดอ บรอยน์ ก็สบโอกาสโต้กลับมาซัดให้ เรือใบสีฟ้า นำหน้าโดยทีมของ กวาร์ดิโอล่า น่าจะเพิ่มสกอร์ได้อีกหลายครั้งก่อนที่ จอห์น สโตนส์ จะพาทีมนำเป็น 2-0 ช่วงท้ายครึ่งแรก แถมเข้าครึ่งหลัง เดอ บรอยน์ คลำเป้าเพิ่มได้อีกอันรวมถึงประตูในช่วงทดเวลาของ ฮาลันด์ โดยที่ อาร์เซน่อล ได้ประตูปลอบขวัญจาก ร็อบ โฮลดิ้ง
หลังจบเกม ทีม ปืนใหญ่ ยังนำเป็นจ่าฝูงสองแต้ม แต่ทีมของ กวาร์ดิโอล่า ลงเล่นน้อยกว่าสองนัด ทุกคนจึงรู้ดีว่าแชมป์จะตกอยู่กับทีมไหน
10. เกมโอเวอร์ที่ กูดิสัน พาร์ค
แมนฯ ซิตี้ บุกไปเยือน เอฟเวอร์ตัน วันที่ 14 พ.ค. และแม้จะฟอร์มฝืดในช่วงครึ่งชั่วโมงแรก พวกเขาก็ยังซิวชัย 3-0 จากลูกโขกของ ฮาลันด์ และสองประตูจาก กุนโดกัน
จากการกำชัย 11 นัดรวดทำให้ เรือใบสีฟ้า ต้องการอีกสองแต้มก็จะป้องกันแชมป์ได้ แต่ อาร์เซน่อล ช่วยทำให้งานของแชมป์เก่าง่ายขึ้นไปอีกในการลงเล่นเป็นคู่หลังแมตช์โดน ไบรท์ตัน บุกมาขยี้ถึงถิ่น 3-0