วินาทีเดียวกับที่บรรดานักเตะแมนฯซิตี้ฉลองแชมป์สมัยที่สามติดต่อกันในช่วงเย็นที่เพิ่งเสร็จจาการซ้อมเซสชั่นสุดท้าย ทั้งหมดต่างมารวมตัวลุ้นดูเกมระหว่างน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์กับอาร์เซน่อลก็ย่อมเป็นอีกหลายนาทีต่อมาที่เชื่อว่าพวกเขาย่อมอยากหันไปมองถึงรอยย่ำที่ผ่านมา
เพราะทุกความสำเร็จล้วนมีเบื้องหลังน่าสนใจเสมอ
เพราะทุกรอยยิ้มก็ย่อมมีคราบน้ำตาให้ระลึก
และเพราะทุกความยิ่งใหญ่ของใครก็ตามก็ต้องมีบทเรียนแห่งความล้มเหลว
"ถ้าพวกเราเล่นได้แค่นี้ อาร์เซน่อลก็จะถล่มพวกเราราบคาบ ถ้าพวกเรายังไม่เปลี่ยนแปลงอีก พวกเราก็จะไม่ได้แชมป์สักใบเดียว นี่ไม่ใช่ทีมที่ผมสร้างมา ผมต้องการเห็นทีมของผมจริงๆ"
เป๊ป กวาร์ดิโอล่าไม่ใช่คนมีนิสัยของขึ้นง่าย เขาเองก็ไม่ได้อยู่ในหมวดเดียวกับเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันในความหมายของสมญานาม'hairdryer'แต่เขามักจะพูดตรงไปตรงมาจากความรู้สึก ประโยคข้างต้นก็เกิดในห้องแต่งตัวหลังเกมกับท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์สเมื่อกลางเดือนมกราคมต้นปี
ใช่ คืนนั้นแมนฯซิตี้ได้สามแต้มโดยครึ่งแรกตามหลังไปก่อน2-0ด้วย กระนั้นโค้ชอย่างเป๊ปไม่ได้พอใจแค่ชัยชนะ เขามองไปลึกกว่านั้นถึงวิธีการเล่นกับทัศนคติจากผู้เล่นตัวเอง
ว่ากันว่านี่เป็นหนึ่งในจุดหักเหของฤดูกาลที่มีคนจำนวนไม่น้อยเลยเชื่อว่าโทรฟี่ลีกจะต้องเปลี่ยนมือไปวางที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
อย่างไรก็ตามความจริงแล้วเบื้องหลังยังมีลึกกว่านั้น ในภาพตอนต้นซีซั่นที่เอร์ลิ่ง ฮาลันด์พังตาข่ายแล้วพังตาข่ายเล่าโดยเตรียมทำลายล้างทุกสถิติที่มีแต่นั่นเป็นความสวยงามเปลือกนอกเท่านั้น ทางตรงข้ามที่เนื้อข้างในกลวง
มีอยู่ 2 ข้อที่ทำให้เป๊ปกับทีมงานกังวลใจ
1. การมาของฮาลันด์ทำให้ทีมต้องปรับตัวเข้าหาหลังจากก่อนหน้านี้ถนัดกับสูตร'false9'โดยมันไม่ใช่แค่ประตูจากหัวหอกนอร์เวเจี้ยนแต่ภาพรวมต่างหากทั้งการเซตเกมขึ้นไป, การตั้งรับและทำอย่างไรให้ทีมมีสมดุลยภาพ
2. ในเกมคาราบาว คัพที่ต่อให้เป็นถ้วยใบเล็กที่สุดแต่ผลจากการตกรอบด้วยน้ำมือเซาธ์แฮมป์ตันที่ตอนนั้นก็มีแววตกชั้นแล้วทำให้อิลคาย กุนโดอัน มิดฟิลด์รุ่นซีเนียร์ของทีมออกมายอมรับผ่านไมโครโฟนทันที"มันเหมือนว่าเรามีบางอย่างที่หายไป ทั้งฟอร์ม, ความกระหายรวมถึงความมุ่งมั่น"
สัปดาห์ก่อนในเพรส คอนเฟอเรนซ์เป๊ปก็พูดถึงคืนแย่ๆนั้นในสนามเซนต์ แมรี่ส์ว่า'the lowest game'ของเขานับแต่เข้ามาอยู่อังกฤษ
จากมกราคมต่อด้วยกุมภาฯจึงเป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายสโมสรตราเรือแท้จริง ถูกต้อง-ทุกคนยำเกรงพวกเขา หลายคนก็หวั่นวิตกไปก่อนในทุกครั้งที่มีโปรแกรมต้องเจอแต่ด้วยมาตรฐานที่เป๊ปได้ตั้งขึ้นมารอบหลายปีมานี้จึงทำให้ทุกคนในแค้มป์สีฟ้าต้องเร่งถีบตัวเองขึ้นมา
มีสองเกมในช่วงนั้นที่ทำให้โมเมนตัมเทไปทางอาร์เซน่อลได้แก่ในศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ที่ไปแพ้1-2กับไปเสียท่าที่บ้านของสเปอร์ส1-0
ปัญหาของพวกเขาไม่ได้มีแค่ในสนาม เรื่องนอกสนามก็ต้องมาปวดหัวกับคดีความที่เจอสอบสวนจากพรีเมียร์ลีกเป็นร้อยข้อหาว่าระหว่างปี2009-2018นั้นทำผิดกฎการเงิน ก็เป๊ปอีกนั่นเองที่ออกมาทุบโต๊ะประกาศผ่านสื่อมวลชนหลายสิบชีวิต
"ผมจะอยู่ที่นี่ ผมจะไม่ไปไหน ผมให้สัญญากับพวกคุณได้เลยว่าผมอยากอยู่ที่นี่เพื่อสู้ไปกับสโมสรแห่งนี้ยิ่งขึ้นไปอีก"
เมื่อเจ้านายออกมาลั่นวาจาเช่นนั้น มีหรือที่ลูกน้องจะไม่รู้สึกฮึกเหิมตาม...
ขณะเดียวกันเป๊ปก็ยังได้เลือกเตะส่งเชา กานซาโล่ออกให้พ้นชายคาสีฟ้าด้วย จุดนี้ก็เช่นกันทำให้ทุกคนรู้สึกมั่นใจว่าขอให้ซ้อมเต็มที่และรักษาวินัยอยู่ในกรอบก็จะได้โอกาสเอง ถึงฟูลแบ็กทีมชาติโปรตุเกสจะเป็นออพชั่นที่ถือว่ายอดเยี่ยมในเชิงฝีเท้าแต่เรื่องความประพฤติที่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลทำให้เป๊ปเอือมระอาจึงไม่ลังเลตัดหางให้บาเยิร์น มิวนิค
สองปัญหานี้เกิดไล่เลี่ยกันโดยเกมถัดมาซึ่งแมนฯซิตี้ทุบเอาชนะวิลล่า3-1ก็มีบางประโยคบนแววตาเปล่งประกายจากโค้ชชาวสแปนิชที่เชื่อเสมอฟุตบอลเป็นสิ่งมีชีวิต จึงไม่ควรไปยึดติดเหมือนการใช้ชีวิต"ผมสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างที่ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ เราเริ่มกลับมาเดินในเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว"
สามวันต่อมาบิ๊กแมตช์ที่รังปืนถือเป็นการชิมลางระหว่างสองทีม ทีมหนึ่งก้าวมาท้าชิงนำจ่าฝูงอย่างองอาจ ส่วนอีกทีมมีดีกรีแชมเปี้ยน
ครับ เกมจบด้วยชัยชนะของทีมเยือน3-1โดยคืนนั้นเองผมที่ก็ไปทำข่าวในสนามด้วยก็จำได้เลยว่าเป็นเกมที่ฮาลันด์ทำประโยชน์ให้ทีมมากกว่าแค่จบสกอร์ ในที่สุดสิ่งที่เป๊ปกับทีมงานช่วยกันคิดเพื่อหาสมดุลยภาพก็ได้ผล การถอยตัวลงมาต่ำเป็นตัวเชื่อมกับการวิ่งทำทางเปิดพื้นที่แนวรับคู่แข่งให้กว้างขึ้นช่วยให้ซิตี้ได้สองลูกในครึ่งหลัง
ถึงจะมีสะดุดอีกครั้งได้แค่เสมอฟอเรสต์1-1ทั้งที่จากรูปเกมกับโอกาสควรถล่ม5-0แต่นั่นเป็นเพียงอุบัติเหตุของลูกหนัง
มันเกิดกันได้ครับ ประเภทเหนือกว่าทุกกระบวนท่าแต่ไม่ชนะหรือหนักกว่านั้นแพ้เลย
ทว่าท้ายที่สุดทรงของทีม, สไตล์ที่นำเสนอตลอดจนแพสชั่นที่ทุกคนมีต่างหากจะเป็นปัจจัยในระยะยาว นั่นก็เป็นความสุดยอดของแมนฯซิตี้ที่ชนะติดต่อกันมาในลีก11เกมนับจากเกมเสมอเจ้าป่าวันนั้น
ก็ไม่ใช่แค่สถาปนาเป็นแชมป์ลีกสมัยที่5ใน6ปีหลังอันหมายถึงประทับจองเบอร์หนึ่งของยุคนี้เท่านั้น พวกเขาก็ยังได้โอกาสสร้างประวัติศาตร์เทียบเท่าเพื่อนบ้านสีแดงอีกด้วยเมื่อเอฟเอ คัพกับยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกก็ได้ผ่านเข้ารอชิง
ถ้ามกราต่อด้วยกุมภาเป็นช่วงฤดูมรสุมของพวกเขา ก็พูดได้ว่าพอเข้ามีนาคมเป็นต้นมาคลื่นลมก็ค่อยๆสงบลง เป็นแสงแดดจากดวงอาทิตย์โผล่เข้ามาแทน
ในนั้นไล่ต้อนลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, บาเยิร์นและล่าสุดเรอัล มาดริดโดยทำประตูรวมถึง15ลูกจากสี่เกมดังกล่าว
รายละเอียดเรื่องแท็กติกก็เช่นกัน เราไม่ได้เห็นเป๊ปที่ดื้อดึงอีกแล้ว เขายืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ใช่ว่าทุกเกมต้องชนะคู่แข่งด้วยความสวยงามประเภมต่อบอลจากหลังไปปิดบัญชี การมีฮาลันด์ยืนค้ำทำให้ต้องรู้จักใช้บอลไดเรกท์บ้าง ขณะที่บทบาทของเควิน เดอ บรอยน์ก็เปลี่ยนไป ขยับจากบ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ไปเป็นตัวที่อยู่หลังฮาลันด์เลย ยกตัวอย่างเกมเจออาร์เซน่อลในเอติฮัดก็ได้ประตูจากแผนการเล่นนี้
เราคุ้นเคยกับสูตรหุบแบ็กเข้ากลางยามได้ครองบอลมาตลอด ทว่าเป๊ปเหนือกว่านั้นด้วยการเอาจอห์น สโตนส์ดันไปจากตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ เกมแรกที่ลองใช้ก็เกมใหญ่ซะด้วยเจอบาเยิร์นในรอบแปดทีมแชมเปี้ยนส์ลีก
ไหนจะเจ้าหนูริโก้ ลูอิสวัย18อีกที่ถึงระยะหลังจะเป็นแค่สำรองแต่ก็เป็นเด็กจากอะคาเดมี่ย์ที่ขึ้นมาเป็นอะไหล่ให้ทีมได้พอดีกับตอนที่กานซาโล่มีอาการงอแงรวมถึงไคล วอล์คเกอร์ก็ยังบาดเจ็บ
"ถ้าเราไม่มีริโก้ในซีซั่นนี้? อืมมม มันคงเป็นงานที่ยากขึ้นกว่าเดิม ต้องบอกว่าริโก้เป็นส่วนหนึ่งเลยที่ทำให้เราผ่านช่วงยากลำบากมาได้"เป๊ปกล่าวให้เครดิต
จึงเป็นซีซั่นที่ดูเหมือนง่ายแต่ไม่ง่าย
การได้ฮาลันด์เข้ามาตอนซัมเมอร์คล้ายเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายให้กับทีม กระนั้นเรื่องจริงของลูกหนังก็ไม่ใช่เกมคอมพิวเตอร์ อย่าว่าแต่เรื่องสไตล์เลย เอาเรื่องนิสัยส่วนตัวก่อนว่ามาแล้วจะกลืนเข้ากับส่วนรวมที่มีอยู่เดิมได้ไหม
สำคัญการซื้อ ซื้อและซื้อก็ไม่เคยเป็นสูตรสำเร็จของฟุตบอล...ไม่เคย
ตลอดสิบเดือนมานี้เราก็ได้เห็นแท็กติกอันเหนือชั้นบนความบ้าของชายที่ชื่อเป๊ป นอกจากจับสโตนส์ไปเป็นมิดฟิลด์ก็มีบางเกมแบร์นาโด ซิลวาถอยเป็นแบ็กซ้าย มีอีกบางแมตช์ที่แผงแบ็กโฟร์ใช้เซนเตอร์ฮาล์ฟอาชีพยืนเรียงแถว
ใครบ้างจะคิดว่ามานูเอล อกานยี่ทำหน้าที่แบ็กซ้ายได้ไม่เคอะเขิน??
ในปีที่ใครๆก็เอ่ยถึงไอ้ปีศาจฮาลันด์ก็ยังมีกุนโดอันบ้าง ซิลวาบ้าง ไหนจะโรดรี้อีกและแน่นอนแจ็ค กรีลิชกับเดอ บรอยน์ด้วยที่ต่างเป็นส่วนประกอบสำคัญทำให้เรือสีฟ้าลำนี้แล่นเข้าฝั่งฝันได้สำเร็จ
ใช่ บางคนก็อาจลืมไปด้วยว่าทีมเดียวกันนี้ก็ได้ปล่อยดาราออกไปด้วยทั้งราฮีม สเตอร์ลิ่ง, กาเบรียล เชซุสและโอเล็กซานเดอร์ ชินเชนโก้(รวมถึงกานซาโล่ในหน้าหนาว)
ผลกระทบมีแน่แต่อีกบางคุณสมบัติของแชมเปี้ยนก็อยู่ที่ต้องกลับมาได้โดยเร็ว นี่เองทำให้โทรฟี่ลีกยังผูกด้วยริบบิ้นสีฟ้าขาวเป็นปีที่สามติด
ไม่ได้เร็วไปเลยที่จะตั้งคำถาม"ใครกันจะขวางพวกเขาในซีซั่นหน้า?"
"ไก่ป่า"