ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็หยุดสถิติที่ร้อนแรงชนะในเกม พรีเมียร์ลีก ติดต่อกันเอาไว้ที่เจ็ดนัดหลังโดน แอสตัน วิลล่า บุกมาคว้าผลเสมอ 1-1 ที่สนาม แอนฟิลด์ ในการฟาดแข้งนัดรองสุดท้ายของทั้งคู่เมื่อวันเสาร์ที่ 20 พ.ค.
จากผลลัพธ์ดังกล่าว หมายความว่า หงส์แดง น่าจะหมดสิทธิ์ลุ้นคว้าอันดับท๊อปโฟร์ซะแล้วเพราะต่อให้นัดสุดท้ายทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์บุกไปเก็บสามแต้มจาก เซาธ์แฮมป์ตัน ได้มันก็น่าจะสายเกินไปหลังจากพวกเขาโดน สิงห์ผงาด บุกมาล่มงานรื่นเริงอย่างช่วยไม่ได้
1. ลิเวอร์พูล ชุดเดิมไม่เปลี่ยน
ลิเวอร์พูล ซึ่งไม่มี เจอร์เก้น คล็อปป์ คุมทีมที่ข้างสนามเนื่องจากกุนซือชาวเยอรมันติดโทษแบนไม่เปลี่ยนโผ 11 คนแรกจากเกมบุกไปยำใหญ่ เลสเตอร์ 3-0 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ฉะนั้นแล้ว โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่เตรียมอำลาทีมในซัมเมอร์นี้จึงมีชื่อนั่งข้างสนามร่วมกับ เจมส์ มิลเนอร์ แต่อีกสองรายที่ต้องหาสโมสรใหม่เช่นกันอย่าง นาบี้ เกอิต้า กับ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
พร้อมกันนี้ ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าทีมชาติ อุรุกวัย ที่เจ็บนิ้วเท้ายังคัมแบ็คไม่ได้
2. วิลล่า ปรับโผตัวจริงสามจุด
แอสตัน วิลล่า โรเตชั่นทีมสามตำแหน่งจากเกมล่าสุดที่พวกเขาเฝ้าบ้านเอาชนะ สเปอร์ส มาได้ 2-1
ในจำนวนนี้ แม็ตตี้ แคช , ลูก้า ดีญ และ บูบาการ์ กามาร่า ได้ลงเล่นก่อนหน้า แอชลีย์ ยัง , อเล็กซ์ โมเรโน่ และ เอมิเลียโน่ บวนเดีย
3. ครึ่งแรกมีครบทุกรสชาติ
กลายเป็นเกมที่มีครบทุกรสชาติดีแท้สำหรับ 45 นาทีแรกที่ แอนฟิลด์ ซึ่ง แอสตัน วิลล่า ได้ลูกโทษ แต่ โอลลี่ วัตกิ้นส์ สังหารพลาด และทำให้เจ้าบ้านรอดพ้นการเสียประตูในนาทีที่ 22
อย่างไรก็ดี ล่วงมาอีกห้านาที สาวก เดอะ ค็อป ก็ต้องเซ็งกันอยู่ดีเมื่อ หงส์แดง ตาข่ายขาดก่อนจนได้จากฝีเท้าของ เจค็อบ แรมซีย์ แถมในช่วงทดเวลา ไทโรน มิงส์ กองหลังทีมเยือนยกเท้าสูงใส่อก โคดี้ กัคโป ด้วยจนทำให้ต้องมีการเช็ควีเออาร์ซึ่งสุดท้ายยืนยันว่าใบเหลืองถูกต้องแล้วจึงทำให้ สิงห์ผงาด ยังมีขุนพล 11 คน หาไม่แล้วเกมในครึ่งหลัง เร้ด แมชีน ซึ่งยังหวังได้ลุ้นโควต้าถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก จะได้เปรียบบานเบอะอย่างไม่ต้องสงสัยหากอาคันตุกะเสียเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคนสำคัญไป
ต่อใบเหลืองของ มิงส์ เชื่อแน่ว่า คล็อปป์ ซึ่งนั่งดูเกมบันอัฒจันทร์คงฉุนขาด แต่เขาไม่อาจโวยวายใส่ผู้ตัดสินหลังเกมได้อีกแล้วไม่เช่นนั้นก็จะโดนแบนเพิ่มอีกเกมจากที่มีการรอลงอาญากันหลังก่อเหตุโจมตี พอล เทียร์นีย์ จนถูก สมาคมฟุตบอล (เอฟเอ) ลงดาบ
ขณะเดียวกัน จากสถิติใน 45 นาทีแรก ลิเวอร์พูล เหนือกว่าแค่การครองบอล 62:38% แต่ได้ยิง 4 ครั้งเท่ากับทีมเยือน แถมเจ้าบ้านส่งบอลเข้ากรอบไม่ได้เลย ผิดกับ วิลล่า ที่ซัดบอลตรงกรอบ 2 หน
4. บ๊อบบี้ อำลาแอนฟิลด์ประทับใจ
จะว่าไป ลิเวอร์พูล ยังรักษาฉายา เครื่องจักรสีแดง ได้อย่างไม่มีตกหล่นโดยเฉพาะการเล่นในบ้านซึ่งหากเสียงนกหวีดสุดท้ายยังไม่ดังขึ้น พวกเขาก็ไม่คิดยอมแพ้ง่ายๆ
และในที่สุด ฟีร์มิโน่ ซึ่งช่ำชองในด้านการหาพื้นที่เข้าซัดประตูสำคัญก็จุดประกายความหวังให้ทีมได้เมื่อลงเล่นเป็นตัวสำรอง และยิงประตูตีเสมอในนาทีที่ 90 พอดี แถมมีการชูป้ายทดเวลานานถึง 10 นาทีอีกต่างหาก มันจึงมากพอที่จะทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ลุ้นยิงประตูชัยแซงชนะเนื่องจากในตอนนั้นพวกเขาบุกกดดัน วิลล่า จนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว
กระนั้นก็ดี แม้สุดท้ายทีมดังแห่งเมอร์ซีย์ไซด์จะทำไม่สำเร็จเนื่องจากเกมนี้สตาร์หลายรายรีดฟอร์มเก่งออกมาไม่ได้เลยทั้ง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ,หลุยส์ ดิอาซ , โม ซาลาห์ และ ฯลฯ แต่ยังไงซะต้องถือว่าดาวเตะแซมบ้าซึ่งจะย้ายทีมในซัมเมอร์นี้มีเกมสั่งลา แอนฟิลด์ ที่ทำให้สาวก เดอะ ค็อป ต้องจดจำเขาไปตลอดกาล
ขณะเดียวกัน สถิติหลังจบเกมระบุเอาไว้ว่า ลิเวอร์พูล ครองบอลได้มากกว่า 66:34% ได้ยิงประตูมากกว่า 10:6 ครั้ง และส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่าเช่นกัน 5:3 ครั้ง
5. ยูโรปาลีกรออยู่
ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็หยุดสถิติชนะในเกมลีกเจ็ดนัดรวดเอาไว้จนได้เมื่อถูก แอสตัน วิลล่า บุกมาเสมอ 1-1 ซึ่งส่งผลกระทบอย่างแรงต่อการพลาดโอกาสลุ้นเล่นถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ในซีซั่นหน้า
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนึ่งแต้มที่ได้มาจากการไล่ตีเสมอ สิงห์ผงาด ทำให้ทั้ง นิวคาสเซิ่ล และ แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นแท่นจ่อได้โควต้าท็อปโฟร์เนื่องจากทั้งสองทีมต้องการอีกแค่แต้มเดียวเท่านั้นจากสองนัดที่เหลือ
ต่างไปจาก เร้ด แมชีน ที่ต้องบุกไปทุบ เซาธ์แฮมป์ตัน ให้ได้ในเกมปิดซีซั่นซึ่งพวกเขาไม่น่าจะพลาดเนื่องจาก นักบุญ ตกชั้นไปแล้วหลังมีผลงานที่เลวร้ายปราชัยมาอย่างต่อเนื่องในสี่นัดหลัง แต่เมื่อดูกันตามสถานการณ์ ลิเวอร์พูล น่าจะต้องลงบู๊ถ้วย ยูโรปาลีก ในซีซั่นหน้าซะมากกว่าเพราะหากเกมวันจันทร์นี้ เดอะ แม็กพายส์ เปิดบ้านทุบ เลสเตอร์ ได้ โอกาสของ ลิเวอร์พูล ก็จะเป็นศูนย์ทันทีเช่นเดียวกับที่หาก ผีแดง แบ่งแต้มในเกมกลางสัปดาห์กับ เชลซี ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้ ทีมของ เทน ฮาก ก็จะได้ฉลองใหญ่โดยไม่ต้องไปรอลุ้นในเกมปิดซีซั่นนัดต้อนรับ ฟูแล่ม