ในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ ชื่อของ เคอร์ติส โจนส์ ค่อย ๆ ประทับเข้าไปในใจของ เดอะ ค็อป หลายคนมากขึ้นทุกที ๆ
มันมาแบบไม่ทันตั้งตัว รู้อีกทีเขาก็กลายเป็นกำลังสำคัญของ ลิเวอร์พูล และเป็นหนึ่งในคนที่โชว์ฟอร์มดีที่สุดในช่วงท้ายฤดูกาล
ภายหลังประสบความปราชัยแบบหมดรูสู้ต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เกมถัดมาที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เจอร์เก้น คล็อปป์ สับเปลี่ยนผู้เล่นตัวจริงถึง 6 รายลงเล่นเจอ เชลซี
ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการได้โอกาสลงสนามของเด็กหนุ่มเลือดสเกาส์คนนี้
ท่ามกลางปัญหาสารพันที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเรื่องผลการแข่งขันหรือฟอร์มการเล่น จุดที่ ลิเวอร์พูล ถูกโจมตีมากที่สุดคือแผงกองกลาง จนนำไปสู่การยกเครื่องใหม่ เป็นจุดที่ต้องแก้ไขเป็นอย่างแรก
"ผมไม่ได้กังวลเลย ผมไม่สนหรอกว่าเราจะเซ็นสัญญากับใคร ผมเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ผมยังเชื่อว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จกับที่นี่ได้ ผมคิดอย่างนั้นจริง ๆ" เด็กหนุ่มชาวเมืองลิเวอร์พูล กล่าวแบบไม่ยี่หระถึงเรื่องนั้น
บางคนได้ยินแล้วก็หัวเราะต่อสิ่งที่เขาพูดออกมาหลังเกมเจอกับ เชลซี
เพราะเมื่อพิจารณาถึงพัฒนาการนับตั้งแต่ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ตอนฤดูกาล 2019/20 ไม่มีทีท่าเลยว่าพวกเขาจะหวังอะไรในผู้เล่นคนนี้ได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากวันนั้น ไม่มีเกมไหนอีกเลยที่คนที่เคยดูแคลนจะไม่เห็นชื่อ เคอร์ติส โจนส์ หลุดโผจากทีมชีท 11 คนแรก
เด็กปั้นจากอะคาเดมี่วัย 22 ปี ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเกมลีก 9 นัดติดต่อกัน นั่นคือตัวเลขที่มากที่สุดในอาชีพ และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งกับการรื้อฟื้นความมีชีวิตชีวาในช่วงที่กำลังจะก้าวสู่อีกยุคหนึ่งของ คล็อปป์
เขาเติบโตขึ้นแบบผิดหูผิดตา ซึ่งชัยชนะที่ได้มาต่อ เลสเตอร์ ซิตี้ 3-0 ที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ก็ยืนยันว่า โจนส์ เดินมาไกลกว่าแต่ก่อนมาก
อาการบาดเจ็บตรงกระดูกดูเหมือนจะไม่ได้มีผลกระทบต่อเกมการเล่นอีกต่อไป มันจึงทำให้เขาสามารถลงซ้อมได้อย่างสม่ำเสมอ และเรียกจังหวะการเล่นของตัวเองออกมาได้แบบเต็มที่
อย่างไรเสีย ยังมีเรื่องสำคัญมากกว่าแค่การรักษาร่างกายให้เต็มร้อย คือการที่ โจนส์ น้อมรับสิ่งที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ เป๊ป ไลจ์นเดอร์ส ต้องการในด้านแท็คติก ไม่ว่าจะทั้งตอนที่ได้ครองบอลและตอนที่ไม่ได้ครองบอล
"เคอร์ติส พัฒนาขึ้นมาก มีหลายอย่างที่มาควบคู่กัน" บอสชาวเยอรมัน เผย
"คุณต้องไม่ลืมว่าเขายังเด็ก และเมื่อปีสองปีก่อนเขาได้เล่นเกมใหญ่ ๆ ให้กับเรามาแล้ว จากนั้นเขาก็มีอาการบาดเจ็บ ปีนี้เลยดูแย่"
สำหรับ โจนส์ ในวันนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ครองบอลนั้นเขาเคลื่อนที่เร็วกว่าเดิม และเขาก็ช่ำชองในด้านการแย่งบอลกลับมาเวลาที่เกมรุกโดนขัดได้ด้วย
"เขาได้ดูเกมฟุตบอลมากมาย เขาเข้าใจเกมมากขึ้น และมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ผมคิดว่าจุดที่เขาพัฒนาขึ้นมาคือการเล่นเคาน์เตอร์-เพรสซิ่ง มันยอดเยี่ยม และความเร็วในการเล่นของเขา"
"เขาไม่เก็บบอลเอาไว้กับตัวเป็นเวลานานขนาดนั้นแล้ว เขาตัดสินใจได้เร็วขึ้น และเป็นคนที่จบสกอร์ได้ดีด้วย เราได้เห็นถึงเรื่องนั้นไปแล้ว 2 ครั้ง ทั้ง 2 ประตูที่เกิดขึ้นในวันนี้มันยอดเยี่ยมมาก ๆ ผมไม่มั่นใจว่ามันเป็นโอกาสที่จะแจ้งรึเปล่า ตอนนี้เขากำลังมีช่วงเวลาที่ดี"
ระบบใหม่ที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ขยับแนวทางการเล่นมาเป็นมิดฟิลด์เคียงข้าง ฟาบินโญ่ ส่งให้ โจนส์ มีอิสระในการเติมเกมรุก เคลื่อนที่ไปข้างหน้ามากขึ้น รวมถึงหาพื้นที่ว่างให้เกิดประโยชน์
สองประตูที่เกิดขึ้นที่รังเหย้า "เดอะ ฟ็อกซ์" ฟ้องให้เห็นถึงสิ่งนั้น และเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อชัยชนะติดต่อกันนัดที่ 7 ทำให้ความหวังติดท็อปโฟร์ยังคงอยู่
ประตูแรกคล้ายกับลูกยิงในเกมเจอ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ โดย คล็อปป์ วางให้ โจนส์ เป็นเป้าหมายบริเวณเสาไกล และการเคลื่อนที่กับการจบสกอร์ของเขาก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนลูกสอง โจนส์ วางเท้ายิงควบคุมลูกบอลได้ดีเยี่ยม หมุนตัวยิงผ่านมือ แดเนี่ยล ไอเวอร์เซ่น จากระยะ 16 หลา และนี่เป็นประตูที่ 3 จาก 4 เกมหลังสุด ซึ่งเทียบเท่ากับก่อนหน้านี้ 57 นัดแรกบนเวที พรีเมียร์ลีก ที่ทำได้ 3 ลูกเท่ากัน
เกมล่าสุดสถิติของ โจนส์ ก็ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก การผ่านบอลตรงเป้า 60 จาก 66 ครั้ง (91%) แถมเอาชนะการดวล ตัวตัว 5 จาก 8 รั้ง อีกทั้งยังเข้าปะทะบอลสำเร็จอีก 3 หน
มันเป็นค่ำคืนที่น่าภาคภูมิใจต่อทีมงานสตาฟฟ์อะคาเดมี่สโมสร นอกจาก โจนส์ สวมบทเป็นพระเอกตอนครึ่งแรกแล้ว คนทำประตูปิดท้ายก็มาจาก เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อีกหนึ่งผลผลิตของทีมด้วยการซัดฟรีคิดสุดสวยส่งบอลทะยานสู่ก้นตาข่าย
เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปีเลยนะครับที่มีนักเตะพันธุ์สเกาเซอร์แท้ ๆ ทำประตูในเกม พรีเมียร์ลีก นัดเดียวกันได้พร้อมกัน 2 คน
หนก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2007 ที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ต่างยิงใส่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ได้
"แน่นอนว่า เคอร์ติส อยากลงเล่นมากกว่านี้ตลอดทั้งฤดูกาลนี้ แต่เขาจำเป็นต้องยกระดับของตัวเองให้ได้ในตอนที่มีโอกาส นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้" เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ระบุ
"เขาแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของตัวเองทั้งตอนที่ได้ครองบอลและตอนที่ไม่ได้ครองบอล ตอนนี้เขาเล่นอยู่ในระดับที่ดีและจำเป็นต้องโชว์ฟอร์มให้ยอดเยี่ยมในทุกนัด คืนนี้เขาเล่นได้ยอดเยี่ยมมากๆ"
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นบนแผงแดนกลาง แต่ โจนส์ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาสมควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของอนาคต ไม่ใช่เป็นแค่ผู้เล่นที่ทีมเพียงใส่ชื่อไว้เป็นอะไหล่รอโอกาสต่อจากคนอื่น
เจมส์ มิลเนอร์, นาบี เกอิต้า และ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน จะย้ายออกไปเมื่อพวกเขาหมดสัญญา ด้าน อาร์ตูร์ เมโล่ ก็ถูกส่งคืนไปยังต้นสังกัด ยูเวนตุส
ส่วนขาเข้า ลิเวอร์พูล น่าจะมีการเซ็นสัญญากองกลางเพิ่มอีกอย่างน้อยสองราย อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, เมสัน เมาท์ และ ไรอัน กราเวนแบร์ช คือกลุ่มเป้าหมายอันดับต้น ๆ
ขณะที่ มานูเอล อูการ์เต้ มิดฟิลด์ตัวรับของ สปอร์ติง ลิสบอน นั้น ทาง ดิ แอธเลติก เผยว่าแหล่งข่าวของพวกเขาปฏิเสธข่าวลือเกี่ยวกับแข้งอุรุกวัยรายนี้
ถึงกระนั้นฟอร์มอันน่าประทับใจของ โจนส์ จะไม่ทำให้แผนการเสริมทัพของ ลิเวอร์พูล เปลี่ยนไปจากเดิมแน่
พวกเขาจำเป็นต้องมีขุมกำลังเชิงลึกที่ดีหากหวังที่จะมีลุ้นแชมป์รายการใหญ่ ๆ ในฤดูกาลหน้า
อย่างไรก็ตาม การที่ โจนส์ เริ่มแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ยอดเยี่ยมหลังจากมีฟอร์มขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดช่วง 2 ปีมานี้ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทีม
ความเชื่อมั่นของ คล็อปป์ ได้รับผลตอบแทนแล้ว
เราได้ยินเสียงเพลงจาก เดอะ ค็อป ที่เดินทางไปเชียร์ทีมรักที่ เลสเตอร์ ในท่วงทำนองถึง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ก่อนที่ดาวเตะแซมบ้าจะได้อำลาต่อหน้าแฟน ๆ ที่ แอนฟิลด์ วันเสาร์นี้
หรือเพลงที่เกี่ยวข้องกับ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ในเนื้อหาเกี่ยวกับการมี "สเกาเซอร์อยู่ในทีม" ซึ่งอาจจะมีเพิ่มมาอีกคน หาก โจนส์ ยังเดินหน้าทำผลงานดีเรื่อย ๆ
ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะนำไปสู่ตอนจบแบบไหน แต่ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่องในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลก็ถือเป็นเรื่องดี ๆ สำหรับ ลิเวอร์พูล ที่พวกเขาตามหามานาน และทำให้ทีมมีโมเมนตัมที่ดีก่อนถึงช่วงซัมเมอร์นี้ หลังจากมีการพูดกันมาตลอดว่าพวกเขาขาดหายอะไรไป และตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะเตือนความจำว่า ที่จริงพวกเขามีพรสวรรค์ที่ดีแค่ไหน
โจนส์ เพิ่มปัจจัยที่ทำให้เกิดความรู้สึกดี ๆ แบบนั้น และสามารถผลักดันตัวเองให้ขึ้นมาอยู่ในจุดนี้ได้
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวเขาเองทั้งนั้น โดยไม่ต้องให้ใครมาอุ้มชูหรืออวยยศอะไรเลย
HOSSALONSO