หมุนเข็มนาฬิกากลับไปเมื่อเจ็ดปีก่อนในวันเดียวกันนี้ นักเตะ เชลซี ตั้งแถวคารวะขุนพล เลสเตอร์ ในฐานะแชมป์ พรีเมียร์ลีก ที่หักปากกาเซียนครั้งประวัติศาสตร์
แต่มาวันนี้ จิ้งจอกสยาม ต้องสั่งจองศาลาเตรียมความพร้อมเอาไว้แล้วหลังพ่ายคาบ้านให้กับ ลิเวอร์พูล แบบเบาะๆ 3-0 ในเกม พรีเมียร์ลีก ที่สนาม คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม เมื่อวันจันทร์ที่ 15 พ.ค. จนส่อเค้าว่าจ่อหล่นไปเล่นใน แชมเปี้ยนชิพ ซีซั่นหน้าเช่นเดียวกับ เซาธ์แฮมป์ตัน
1. จิ้งจอกสยามพึ่ง อีแวนส์ คุมเกมรับ
เลสเตอร์ ซิตี้ ลุ้นหนีตายด้วยการส่ง จอนนี่ อีแวนส์ กองหลังจอมเก๋าที่เจ็บกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังไปนานหกเดือนลงเล่นเป็นตัวจริงเกมแรกของ พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค. พร้อมทั้งได้รับบทกัปตันทีมด้วย
นอกจากนี้ เจ้าถิ่นยังได้ ริคาร์โด้ เปเรยร่า แบ็คขวาที่เจ็บในจุดเดียวกันฟิตกลับมาลงสนามอีกราย
ด้าน วิลเฟร็ด เอ็นดีดี้ ถูกส่งลงเล่นในแดนกลางอันเป็นการปรับโผสามตำแหน่งโดยที่ คักลาร์ โซยุนชู , วิคเตอร์ คริสเตียนเซ่น และ เดนนิส ปราต หลุดจากโผ 11 คนแรก
2. หงส์ต้องชนะโรเตชั่นทีมสองจุด
เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล สลับโผนักเตะตัวจริงบุกมาเยือน คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม รวมสองรายจากเกมพิชิต เบรนท์ฟอร์ด 1-0
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมได้กลับมาอยู่ในโผออกสตาร์ตเช่นเดียวกับ หลุยส์ ดิอาซ โดยที่ ดีโอโก้ โชต้า กลับไปรับบทตัวสำรอง ขณะที่ ดาร์วิน นูนเญซ ไม่มีเอี่ยวในเกมนี้เนื่องจากเจ็บนิ้วเท้าเล็กน้อย
ด้วยเหตุนี้ กัปตันเฮนโด้จึงลงเล่นเป็นตัวจริงในเกม พรีเมียร์ลีก ให้ เร้ด แมชีน ครบ 300 นัดพอดีรั้งอันดับสี่ของสโมสรต่อจาก เจมี่ คาร์ราเกอร์ (484) , สตีเว่น เจอร์ราร์ด (466) และ ซามี่ ฮูเปีย (310)
3. เน้นชัวร์ไม่เน้นมั่ว
จากสถานการณ์ในอันดับตารางของทั้งสองฝ่ายจึงเป็นธรรมดาที่เกมในช่วงต้นจะขาดอรรถรสไปมากพอสมควรเนื่องจากต่างก็ไม่อยากพลาดเสียประตูก่อน และต้องการสามแต้มด้วยกันทั้งคู่แม้จะมีเป้าหมายที่ต่างกัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ลิเวอร์พูล เองก็ไม่คิดบุกแบบมุทะลุบุ่มบ่ามแม้ผลงานในช่วงโค้งสุดท้ายจะเหนือกว่า เลสเตอร์ หลายขุม และหลังจากเล่นด้วยความใจเย็นนาน 33 นาที เคอร์ติส โจนส์ ก็สอยตาข่ายให้ทีมเยือนออกนำ 1-0 จนได้ซึ่งเป็นอีกเกมที่แผงหลังอย่างแบดของ เดอะ ฟ็อกซ์ ไม่มีคลีนชีตอีกตามเคยรวมเป็นนัดที่ 21 ในลีกซีซั่นนี้แล้ว
จากนั้นอีกแค่สามนาที โจนส์ เจ้าเก่าก็ทำให้อดีตแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ เอฟเอคัพ ต้องคิดถึงการใช้ชีวิตใน แชมเปี้ยนชิพ ซีซั่นหน้ามากขึ้นกับการเบิ้ลเม็ดสองให้ทีมเยือนหนีห่าง
ถึงตรงนี้ เครื่องจักรสีแดง เริ่มทำงานแบบเต็มประสิทธิภาพทันทีเนื่องจากไม่มีอะไรให้ต้องพะวงอีกต่อไป และสามารถเล่นตามเกมที่เป็นธรรมชาติของตัวเองได้จวบจนครบ 45 นาทีแรก ลิเวอร์พูล มีผลงานเหนือกว่าราวฟ้ากับเหวทั้งการครองบอล 74:26% โอกาสเช็กบิล 8:1 ครั้ง และการส่งบอลเข้ากรอบ 3:1 ครั้ง
สำหรับ โจนส์ หลังซัดสองประตูในเกมนี้เพิ่มผลงานเป็นหกประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ให้กับตัวเอง เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นนักเตะที่เกิดในเมืองลิเวอร์พูลรายที่สองที่ยิงสองเม็ดในเกม พรีเมียร์ลีก ให้กับ หงส์แดง ได้ต่อจาก ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ แถมเป็นนักเตะอิงลิชรายที่สองของทีมด้วยที่มีผลงานดังกล่าวนับตั้งแต่ อดัม ลัลลาน่า เข่น มิดเดิ้ลสโบรช์ สองเม็ดในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2016
ด้าน โม ซาลาห์ ซึ่งจัดสองแอสซิสต์ให้ โจนส์ สานผลงานเพิ่มเป็น 55 แอสซิสต์ใน พรีเมียร์ลีก ให้กับ หงส์แดง แล้ว และรั้งอันดับสามในทำเนียบสโมสรรองจาก สตีเว่น เจอร์ราร์ด (93) และ สตีฟ แม็คมานามาน (58) ขณะที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แอสซิสต์ไปแล้ว 53 ประตูเท่ากัน
ในทางกลับกัน เลสเตอร์ มีผลงานเสียประตูให้ทีมเยือนก่อนในเกม พรีเมียร์ลีก 12 นัดติดต่อกันแล้วซึ่งถือเป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดของรายการนี้เลยทีเดียว แถมเป็นทีมเดียวจากห้าลีกใหญ่ในยุโรปด้วยที่ไม่อาจเก็บคลีนชีตได้เลยนาน 21 นัดแล้วนับตั้งแต่จบศึก ฟุตบอลโลก 2022
4. สามแต้มเจ็ดนัดรวด
กลับเข้าครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล เน้นเดินเล่นแบบออมแรงเอาไว้หลังนำห่างสองประตูแล้ว แต่ด้วยความอ่อนด้อยของ เลสเตอร์ ทำให้ทีมเยือนเพิ่มสกอร์ได้อีกจากการซัดลูกฟรีคิกของ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ในนาทีที่ 71 หลังจาก ซาลาห์ เขี่ยเปลี่ยนจุดให้เป็นการทำแฮททริคแอสซิสต์ และเป็นแอสซิสต์ที่ 56 ของดาวยิงทีมชาติ อียิปต์ กับ หงส์แดง
ขณะเดียวกัน อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำประตูในเกม พรีเมียร์ลีก เพิ่มเป็น 65 ลูกด้วยนับตั้งแต่เขาประเดิมสนามเมื่อเดือนธ.ค. 2016 โดยแบ่งเป็นการทำประตู 12 ลูก และแอสซิสต์ 53 ลูกเหนือกว่าปราการหลังด้วยกันทุกราย
จบเกมที่ คิง เพาเวอร์ ลิเวอร์พูล จึงคว้าชัยชนะกลับรังอย่างไม่ลำบาก เพิ่มสถิติชนะรวดในเกม พรีเมียร์ลีก เจ็ดนัดหลัง และยังมีลุ้นคว้าโควต้า แชมเปี้ยนส์ลีก หากว่า นิวคาสเซิ่ล หรือ แมนฯ ยูไนเต็ด เกิดสะดุดล้มหัวทิ่มโดยเกมนี้ ทีมของ คล็อปป์ แทบไม่ต้องเหนื่อยกันมากมายอะไรก็สามารถเดินออกจากสนามในฐานะผู้มีชัยได้จากสถิติหลังครบ 90 นาทีซึ่งพวกเขาครองบอลเหนือกว่า 67:33% และได้ลุ้นทำประตูทั้งสิ้น 16:4 ครั้งโดยเป็นการส่งบอลเข้ากรอบได้ 5:4 ครั้ง
5. อนาคตที่รออยู
ก่อนเริ่มเขี่ยบอลเกมนี้ มีการคำนวณออกมาว่าหาก ลิเวอร์พูล คว้าชัยที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ได้สำเร็จ โอกาสที่พวกเขาจะทะยานขึ้นสู่อันดับท็อปโฟร์คว้าตั๋วลงเล่นถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นหน้าจะเพิ่มจาก 33% เป็น 45%
และหากเป็นเช่นนั้น โอกาสที่ นิวคาสเซิ่ล จะคว้าอันดับท็อปโฟร์จะลดลงจาก 78% เหลือ 71% ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะถูกลดโอกาสจาก 88% เหลือ 83% แม้อันที่จริงจากอันดับตาราง ณ ปัจจุบัน เดอะ แม็กพายส์ จะเหนือกว่า ปีศาจแดง ด้วยผลต่างประตูได้เสียก็ตาม
จนในที่สุด ลิเวอร์พูล บุกมากำชัยเหนือทีมรองบ๊วยได้ตามความคาดหมาย และเชื่อเถอะว่าพวกเขาได้ลุ้นคั่วอันดับท็อปโฟร์สนุกแน่หลังเก็บแต้มในลีกได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย 21 แต้มเต็มเนื่องจากโอกาสที่สองทีมนำจะทำแต้มหล่นยังมีความเป็นไปได้มากกว่าที่ หงส์แดง จะไม่ชนะเก้านัดรวดจนจบซีซั่นซะอีก
อย่างไรก็ดี ที่แน่นอนคือ ลิเวอร์พูล ได้ตั๋วลงเล่นถ้วย ยูโรปาลีก ในซีซั่นหน้าล้านเปอร์เซนต์แล้วหลังเก็บได้อีกสามแต้มในเกมนี้เนื่องจากพวกเขาไม่มีทางจบซีซั่นนี้ต่ำกว่าอันดับหก
สำหรับ เดอะ ฟ็อกซ์ มีการคำนวณก่อนเกมว่าหากพวกเขาหักปีก หงส์แดง ได้โอกาสรอดตายจะอยู่ที่ 67% แต่หากปราชัยโอกาสตกชั้นจะมีมากถึง 82%
และเมื่อได้เห็นฟอร์มในหลายเกมหลังของ สุนัขจิ้งจอก ซึ่งไม่มีพิษสงเลยแม้แต่น้อย แถมแผงหลังยังพร้อมประเคนประตูให้ฝ่ายตรงข้ามทุกนาทีอีกด้วยจึงอาจฟันธงตรงนี้ได้เลยว่าพวกเขาจะตกชั้นแน่นอนเนื่องจากนักเตะไม่ได้สวมหัวใจสิงห์วิ่ง สู้ ฟัด เหมือนกับทีมในโซนสีแดงโดยส่วนใหญ่ที่กระหายโกงความตายเลยสักนิด