ใครที่เป็นแฟนบอล ลีดส์ ยูไนเต็ด คงกำลังลุ้นอย่างใจจดใจจ่อเลยนะครับ
มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับทีมรักอีกครั้ง เมื่อฝ่ายบริหารของสโมสรนำโดยท่านประธาน อันเดรีย ราดริซซานี่ ตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้จัดการทีมเป็นหนที่สองในฤดูกาล จาก เจสซี่ มาร์ช ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลมาเป็น ฆาบี กราเซีย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ แล้วก็เป็น แซม อัลลาร์ไดซ์ ล่าสุด
อันที่จริงก็เป็นเรื่องเข้าใจได้เพราะสถานการณ์ในลีกของทีมยูงทองไม่ดีขึ้นเลย กราเซียเข้ามาแทนมาร์ชก็เพราะเหตุผลเดียวกัน แต่ภายใต้การทำงานของนายใหญ่ชาวสเปน ลีดส์ก็ยังคงกระเสือกกระสนชนะได้แค่ 3 เกมเท่านั้นจาก 11 นัดที่ลงเตะ
ตอนที่บิ๊กแซมเข้ามารับตำแหน่งนั้นลีดส์อยู่ห่างจากการตกชั้นเพียงแค่ผลต่างประตูได้เสียเท่านั้นเองนะครับ แต่ที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าคือความเละเทะที่เกิดขึ้นในช่วงหลังซึ่งเป็นเรื่องที่รับไม่ได้โดยสิ้นเชิงและเสี่ยงเกินไปที่จะยึดมั่นในตัว กราเซีย อดีตกุนซือบาเลนเซีย มาลาก้า วัตฟอร์ด และ รูบิน คาซาน ให้เดินหน้าต่อ
เกมเตะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ถ้ามัวอืดอาดยืดยาดไม่กล้าตัดสินใจให้เด็ดขาด รู้ตัวอีกทีอาจจะสายเกินไปเสียแล้ว
จะว่าไปแล้วนับจากหมดยุคของ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า ลีดส์ ยูไนเต็ด ก็ไม่มีความรื่นเริงเกิดขึ้นอีกเลย บิเอลซ่าทำลีดส์มาได้ถึงจุดหนึ่งที่โดดเด่นด้วยสไตล์เฉพาะตัว เป็นฟุตบอลเกมรุกที่พร้อมเปิดหน้าแลกกับทุกทีม แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งขนาดและมาตรฐานของทีมก็เป็นข้อจำกัดให้ทีมไม่อาจไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงจึงต้องเกิดขึ้น ด้วยความหวังว่าผู้จัดการทีมคนใหม่จะพาทีมไปได้ไกลกว่าบิเอลซ่า ด้วยฐานรากที่ปรมาจารย์ชาวอาร์เจนไตน์วางเอาไว้
แต่จากวันนั้นถึงวันนี้ลีดส์ยังไปไม่ถึงไหน ด้วยคนที่มาแทนบิเอลซ่าทั้ง มาร์ช และ กราเซีย ไม่เพียงสานต่อสิ่งที่มีอยู่ไม่ได้ แต่กลับมองไม่เห็นวี่แววของพัฒนาการ อาการมีแต่ทรงกับทรุดจนเมื่อมองย้อนกลับไปดูที่มาอีกครั้งอาจได้แต่สงสัยว่าทีมอยู่ในจุดที่สูงกว่าเดิมจริงหรือเปล่า
จากทีมดาวรุ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เล่นฟุตบอลด้วยความกล้าน่าชื่นชม พร้อมท้าทายความสำเร็จในระดับวางเป้าหมายที่เลขตัวเดียวบนตารางคะแนนหรือกระทั่งล่าตั๋วไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรป เวลานี้ลีดส์กลับเต็มไปด้วยความสับสน ไม่มั่นใจ ไม่มีภาพของความเป็นผู้กล้าท้าทายโลกอีก และต้องหวนกลับไปตั้งหลักอย่างระมัดระวังและระแวงกันอีกครั้ง
เป้าหมายที่เคยองอาจว่าข้าจะเข้ามาเขย่าวงการเหลือเพียงการเอาตัวรอดให้ได้ ดิ้นรนอยู่ต่อในพรีเมียร์ลีกให้ได้แค่นั้น เอาสถานการณ์เฉพาะหน้าตรงนี้ให้พ้นไปก่อน
ฟังแล้วก็น่าเศร้า แต่ฟุตบอลมันก็แบบนี้ ไม่ใช่ทุกทีมหรอกที่สมหวัง เพียงส่วนน้อยด้วยซ้ำที่สามารถไปได้ถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้
ยิ่งเป้าหมายใหญ่เพียงใด ก็ยิ่งมีโอกาสพลาดเพียงนั้น
ลีดส์คล้ายกลับจากจุดสูงสู่สามัญ และจะว่าไปกระทั่งในมือของบิเอลซ่า ทีมก็ทำได้เพียงมองดูเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เช่นกัน การลาจากของเขาก็เป็นเพราะเรื่องนี้
ไม่ใช่หมดสัญญาหรือถูกทีมใหญ่กว่าดึงตัวไปร่วมงานหรืออิ่มตัวอะไร บิเอลซ่าจำเป็นต้องแยกทางกับลีดส์ก็เพราะสถานการณ์ดำดิ่งกู่ไม่กลับเช่นกัน
แต่นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกแห่งความจริง มีสมหวัง มีผิดหวัง เมื่อเป้าหมายลดระดับลงมาจากที่เคยคาดหวังเอาไว้ก็ต้องทำความเข้าใจและอยู่กับมันให้ได้
ก่อนตัดสินใจหันไปหาอัลลาร์ไดซ์ ลีดส์ชนะแค่เกมเดียวเท่านั้นจาก 7 นัดหลังสุด แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือการแพ้แต่ละครั้งนั้นหมดสภาพโดยสิ้นเชิง เจออาร์เซน่อลกระหน่ำไป 4 ลูก คริสตัล พาเลซ 5 ลูก ลิเวอร์พูล 6 ลูก เกมที่เป็นฟางเส้นสุดท้ายของ กราเซีย ก็ยังถูกบอร์นมัธบอมบ์เละอีก 4 ประตู
เจ็ดนัดหลังสุดชนะได้แค่เกมเดียว ห้านัดหลังสุดเก็บได้แค่แต้มเดียว สร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าจดจำด้วยการเสียประตูในเดือนเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีกคือ 23 ลูกในเดือนเมษายน
ถ้าเป็นนกก็กำลังปีกหักร่วงหล่นอย่างอิสระรอกระแทกพื้นดิน สถานการณ์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมตัดจบแล้วมอบอนาคตในช่วง 4 เกมสุดท้ายให้กับคนที่มีประสบการณ์เคยทำได้มาก่อน
แม้งานล่าสุดของ อัลลาร์ไดซ์ จะล้มเหลวไม่อาจพา เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน รอดตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2020/21 ได้ แต่ชื่อของ "บิ๊กแซม" ก็ยังน่าไว้วางใจมากกว่ากราเซียที่ทำท่าจะควบคุมไม่อยู่
ลีดส์ตัดสินใจตะลุยโปรแกรม 4 นัดที่เหลือของฤดูกาลด้วยอัลลาร์ไดซ์ ด่านแรกผ่านไปแล้ว สถานการณ์แย่กว่าเดิมด้วยการแพ้อีกนัดและร่วงจากที่เคยอยู่ปากเหวลงมาอยู่ในเหว มีคะแนนต่ำกว่าโซนปลอดภัย 2 แต้ม เพียงแต่มันเป็นการแพ้เต็งหนึ่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่ 1-2 แม้ประตูตีไข่แตกจะได้มาหลังจากซิตี้ยิงจุดโทษเป็น 3-0 ไม่เข้าก็ตาม
แพ้ทีมเรือใบสีฟ้าที่เอติฮัด สเตเดี้ยม แค่ลูกเดียว มีการฮึดสู้ในครึ่งหลังโดยเฉพาะช่วงท้ายเกมที่น่าประทับใจให้เห็น อย่างน้อยสาวกยูงทองก็พอจะมองเห็นความหวังเล็กๆ กับ 3 เกมสุดท้ายที่จะได้เล่นในเอลแลนด์ โร้ด 2 เกม
งานหนักไหม หนักแน่นอนเพราะโปรแกรมที่เหลือต้องรับมือ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่กำลังคั่วตั๋วไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อด้วยไปเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ลอนดอน สเตเดี้ยม และกลับมาเฝ้ารังเตะส่งท้ายกับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ในนัดปิดฤดูกาล ขณะที่คู่แข่งหนีตายด้วยกันทั้ง เอฟเวอร์ตัน เลสเตอร์ ซิตี้ และ เซาธ์แฮมป์ตัน ก็มีเกมเหย้า 2 จาก 3 เกมสุดท้ายเช่นกัน มีเพียง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมเดียวที่ต้องไปเยือน 2 เกม
ถามว่าการตัดสินใจในครั้งนี้สายเกินไปไหมหรือเสี่ยงเกินไปหรือเปล่าคงไม่มีคำตอบจนกว่าฤดูกาลจะจบและทุกอย่างได้บทสรุป ถ้าอัลลาร์ไดซ์พาทีมอยู่รอดได้ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและทันเวลา แต่ถ้าเอาตัวไม่รอดก็อาจต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติมอีกนิด หากตกชั้นแบบได้ลุ้นจนถึงเกมสุดท้าย สู้ยิบตามีเกมที่น่าประทับใจให้เห็นแต่ไม่ทันการณ์ก็อาจพูดได้ว่าตัดสินใจช้าเกินไป แต่หากตกชั้นแบบคงสภาพเดิมที่เป็นอยู่คือโดนกะซวกตาข่ายเป็นว่าเล่นนัดละ 4-5 ลูกก็คงพูดได้ว่าค่าเท่ากัน ไม่มีอะไรแตกต่าง
ชะตากรรมของลีดส์ ยูไนเต็ด กำลังจะถูกตัดสินในเร็วๆ นี้ อีกแค่ 3 เกมก็จะได้รู้ผลลัพธ์ แฟนบอลทีมยูงทองบ้านเรามีไม่น้อยและคงจะลุ้นทีมรักกันตัวโก่งน่าดู
กำหนดเป้าหมายเหลือแค่การอยู่รอดให้ได้ กวาดตาดูเพื่อนร่วมชะตากรรมรอบด้านแต่ละทีมล้วนมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น บางทีมมาก บางทีมน้อย แต่เมื่อหันกลับมามองตัวเอง ลีดส์ก็เจอปัญหาของตนเช่นกัน
เกมรับไม่ดีเข้าขั้นวิกฤติ เกมรุกไร้พิษสง กรงเล็บไม่ค่อยยาว เขี้ยวไม่ค่อยคม
เมื่อ แซม อัลลาร์ไดซ์ เข้ามา เขาก็เหมือนเป็นความหวังสุดท้ายในฤดูกาลอันน่าเหนื่อยล้าของ ลีดส์ ยูไนเต็ด
บิ๊กแซมจะพาทีมตั้งหลักสู้กลับได้ทันไหม จะต่อยอดจากประตูตีไข่แตกที่เอติฮัด สเตเดี้ยมและใช้ประโยชน์จากการได้เล่นในบ้านอีก 2 จาก 3 นัดที่เหลือได้หรือเปล่า บางทีเกมหัวค่ำวันนี้กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด อาจมีคำตอบให้เราเห็นรางๆ นะครับ
ตังกุย