สถานการณ์ในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก และการทำอันดับคว้าสิทธิ์ไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก และ คอนเฟอเรนซ์ ลีก กำลังเข้มข้นเหลือเกิน แต่กระนั้นมองขยับสายตาไปเช็คพื้นที่ท้ายตารางการลุ้นหนีตายก็สนุกเข้มข้นไม่แพ้กัน เพราะจนถึง 3 เกมสุดท้ายยังไม่มีทีมไหนร่วงตกชั้นอย่างเป็นทางการ และสถานการณ์สามารถพลิกผลันได้ภายในชั่วพริบตาเดียวเลยทีเดียว
บรรดาคอลูกหนังคงรู้สึกใจหายไม่น้อยที่เห็นชื่อสโมสรเอฟเวอร์ตัน เหนียวหนึบอยู่ในโซนอันตราย และสุ่มเสี่ยงที่จะหล่นไปหาประสบการณ์ใหม่ในลีก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ขณะที่ เลสเตอร์ ซิตี้แม้จะอยู่เหนือโซนตกชั้นแต่ก็สถานการณ์ไม่ดีเลย ล่าสุดเพิ่งโดน ฟูแล่ม ถล่ม 5-3 ทำให้ทีมมีเพียง 30 คะแนนเท่านั้น รั้งอันดับ ***
ตอนนี้ทั้ง 6 สโมสรแข่งไปแล้ว 35 แมตช์ แน่นอนว่า 3 แมตช์สุดท้ายถือเป็นเกมที่ชี้เป็นชี้ตายทีมโซนท้ายตาราง เพราะหากทีมใดทีมหนึ่งพลาดท่าทำแต้มหลุดงานนี้บอกเลยว่าแม้แต่ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่จมบ๊วย ก็อาจฟื้นคืนชีพได้เช่นกัน ฉะนั้นห้ามสะดุดเด็ดขึ้นไม่งั้นอาจจะมีน้ำตาตกได้เลยทีเดียว
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (อันดับ 15 มี 37 คะแนน)
สถานการณ์ของ เวสต์แฮม ดูจะผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อพวกเขาสามารถเปิดรังลอนดอน สเตเดี้ยม คว่ำ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ทำให้ทีมมีแต้มอยู่เหนือโซนตกชั้น 7 คะแนน และตามทฤษฏีหากทีมใดสามารถเก็บได้เกิน 40 แต้มโอกาสที่จะรอดตกชั้นมีค่อนข้างสูง
งานนี้ เดวิด มอยส์ แอนด์ โค. ต้องพยายามที่จะมีสมาธิกับ 3 เกมที่เหลืออยู่ให้ได้ โดยพวกเขาจะต้องพบกับ "ผึ้งน้อย" เบรนท์ฟอร์ด (เยือน), จากนั้นต้องพบกับ 2 ทีมหนีตายอย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด (เหย้า) และปิดท้ายด้วยการดวลกับ เลสเตอร์ ซิตี้ (เยือน)
อย่างไรก็ตาม เวสต์แฮม ยังมีเกมที่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของพวกเขานั้นก็คือการลงเล่นเกม ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก รอบรองชนะเลิศ พบกับ อาแซ่ด อัล์คมาร์ ทีมแกร่งในลีกดัตช์
น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ (อันดับ 16 มี 33 คะแนน)
"เจ้าป่า" ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องหนีตายมาตลอด แต่พวกเขาค่อยๆ ทำผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าตอนนี้ยังคงต้องดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อความอยู่รอด แต่โอกาสของพวกเขาก็เริ่มจะเปิดกว้างมากขึ้น
แมตช์ที่ต้องตัดแต้มกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะการที่ ฟอเรสต์ สามารถเอาชนะทัพ "นักบุญ" ได้ในเกมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้พวกเขาขยับขึ้นไปอยู่อันดับ 16 มี 33 คะแนน
อย่างไรก็ตามการลุ้นหนีตกชั้นในช่วง 3 เกมสุดท้าย ต้องยอมรับว่า ฟอเรสต์ เจองานหนักจริงๆ เพราะพวกเขาต้องปะทะกับ เชลซี (เยือน), ดวล "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล (เหย้า) และพบ "ดิ อีเกิ้ลส์" คริสตัล พาเลซ (เยือน)
เอฟเวอร์ตัน (อันดับ 17 มี 32 คะแนน)
แฟนบอล "เอฟเวอร์โตเนี่ยน" คาดหวังว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ค จะสามารถนำ เอฟเวอร์ตัน ทำผลงานได้ดีขึ้นในฤดูกาล 2022/2023 หลังจากที่ "แลมพ์ส" เข้ามากอบกู้ทีมในช่วงท้ายซีซั่นที่แล้ว และพาสโมสรอยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีกสำเร็จ
อย่างไรก็ตามทุกอย่างไม่เป็นดั่งฝัน และหลังจากที่ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" แพ้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายในอาชีพของ แลมพาร์ด กับ เอฟเวอร์ตัน เมื่อเขาโดนปลด ก่อนที่สโมสรจะแต่งตั้ง ฌอน ไดซ์ เข้ามาทำหน้าที่แทน
ผลงานของทีมในยุค ไดซ์ ก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ แต่การที่พวกเขาไล่ต้อน ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 5-1 ในเกมล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ทีมเก็บเพิ่มเป็น 32 คะแนน ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 17 ทันที
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ที่ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีเปลี่ยนชื่อจาก "ดิวิชั่น 1" เป็น "พรีเมียร์ลีก" ในซีซั่น 1992/1993 เอฟเวอร์ตัน ไม่เคยร่วงตกชั้นเลย และเป็น 1 ใน 6 ทีมร่วมกับ อาร์เซน่อล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เชลซี และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่อยู่ยงคงกระนั้นในพรีเมียร์ลีกจนปัจจุบัน
เลสเตอร์ ซิตี้ (อันดับ 18 มี 30 คะแนน)
ต้องยอมรับว่า เลสเตอร์ เป็นหนึ่งในสโมสรที่แฟนบอลชาวไทยเฝ้าติดตามผลงานมาตลอด หลังจากที่พวกเขาได้สร้างเทพนิยายสุดมหัศจรรย์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015/2016 แต่สำหรับซีซั่นนี้ทีมต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี !
"เดอะ ฟ็อกซ์" ซึ่งเพิ่งจะโดน "เจ้าสัวน้อย" ฟูแล่ม ยำใหญ่ใส่ตับในเกมลีกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ของทีมในเวลานี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ คู่แข่งหนีตกชั้นโดยตรงทำผลงานชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน ทำให้ขยับขึ้นไปอยู่อันดับ 16 และส่ง เลสเตอร์ หล่นไปอยู่โซนตกชั้นเรียบร้อย
เลสเตอร์ เก็บได้แค่ 5 คะแนนจาก 5 เกมหลังสุด โดยพวกเขาเสมอ ลีดส์ ยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน สองคู่แข่งหนีตายด้วย งานนี้ต้องบอกเลยว่า ดีน สมิธ มีงานหนักที่จะต้องกอบกู้ทีมอย่างเร่งด่วน
เนื่องจากโปรแกรมที่เหลืออยู่โหดไม่ใช่เล่นเพราะต้องพบกับ 2 ทีมที่กำลังลุ้นพื้นที่ท็อปโฟร์เพื่อคว้าโควตาไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แก่ ลิเวอร์พูล (เหย้า) และ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (เยือน) ก่อนจะตบท้ายปะทะ เวสต์แฮม (เหย้า)
ลีดส์ ยูไนเต็ด (อันดับ 19 มี 30 คะแนน)
ดูเหมือนว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างค่อยๆ ดีขึ้นสำหรับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในช่วงแรกๆ ที่ เจสซี่ มาร์ช เข้ามากุมบังเหียน แต่หลังจากนั้น กุนซือชาวอเมริกัน ต้องเจอกับชีวิตที่แสนยากลำบากในการคุมทัพ "ยูงทอง" และสุดท้ายก็โดนเด้งออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
หลังจากนั้นทีมแต่งตั้น ฆาบี การ์เซีย เข้ามาทำงานแทนแต่ผลงานน่าผิดหวังสุดท้ายก็โดนเด้งออกจากตำแหน่ง โดยก่อนจากไปกุนซือชาวสแปนิช สร้างสถิติใหม่ที่ไม่น่าจดจำให้กับสโมสรเมื่อทีมเสียประตูในเกมพรีเมียร์ลีกมากที่สุดภายในเดือนเดียว นั่นก็คือเดือนเม.ย. (23 ประตู)
ปัจจุบันพวกเขาต้องจ้างขรัวเฒ่าผู้เจนจัดเรื่องการพาทีมหนีตกชั้นอย่าง แซม อัลลาร์ไดซ์ สำหรับ 3 แมตช์สุดท้ายแห่งชีวิต โดยบททดสอบแรกของ "บิ๊กแซม" ก็เพิ่งแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปแบบหวุดหวิด 1-2 (แต่รูปเกมสู้ไม่ได้เลย) ส่วนเกมที่เหลือต้องพบกับ นิวคาสเซิ่ล (เหย้า), เวสต์แฮม (เยือน) และ สเปอร์ส (เหย้า)
เซาธ์แฮมป์ตัน (อันดับ 20 มี 24 คะแนน)
ทัพ "นักบุญ" ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่าเข้าขั้นโคม่าเลยทีเดียว ประมาณว่าหากถอดเครื่องช่วยหายใจก็ไม่รอดแหงๆ เพราะพวกเขารั้งจมบ๊วยอย่างเหนียวแน่น ด้วยการมี 24 คะแนน และงานนี้ต้องบอกเลยว่าทีมต้องอาศัยโชคลาภวาสนาหลายต่อเลยทีเดียวหากได้อยู่รอดในพรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้
เซาธ์แฮมป์ตัน เป็นทีมที่สามวันดีสี่วันไข้ โดยเฉพาะแนวรุกที่ขาดความเฉียบคมในพื้นที่สุดท้าย ขณะที่แนวรับก็อ่อนยวบราวกับปุยนุ่น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาตั้งรั้งอันดับสุดท้ายในตารางลีก
ผลงานที่ย่ำแย่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ "เดอะ เซนต์ส" ต้องเปลี่ยนกุนซือถึง 3 คนในฤดูกาลนี้ ไล่ตั้งแต่ ราล์ฟ ฮาเซนฮึทเทิ่ล ตามด้วย เนธาน โจนส์ และปัจจุบันเป็น รูเบน เซเยส
หลังจบเกมกับ ฟอเรสต์ สถานการณ์ของพวกเขายังต้องเหนื่อยหนักเพราะเจอกับ ฟูแล่ม (เหย้า), ไบรท์ตัน (เยือน) และตบท้ายปะทะ ลิเวอร์พูล (เหย้า) ทีมลุ้นโควตาแชมเปี้ยนส์ ลีก แถมยังต้องมาภาวนาให้ทีมหนีตายอื่นๆ พ่ายท่าด้วย บอกเลยว่าเหนื่อยมาก
ทอมเม้ง