ลิเวอร์พูล สร้างผลงานชนะในเกม พรีเมียร์ลีก ห้านัดติดต่อกันแล้วเมื่อล่าสุดเปิดบ้านพิชิต ฟูแล่ม 1-0 จากการลงสนามเมื่อวันพุธที่ 3 พ.ค. เพิ่มโอกาสฝันถึงการคว้าอันดับท็อปโฟร์มากขึ้นไปอีก
จากสถานการณ์ล่าสุด หงส์แดง รั้งอันดับห้าของตารางคะแนนโดยมีแต้มไล่ตาม แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมอันดับสี่เหลือแค่สี่แต้มเท่านั้น แม้จะลงเล่นมากกว่า ผีแดง สองนัดก็ตามที
1. โชต้า ไม่ฟิตนั่งสำรอง
ดีโอโก้ โชต้า ฮีโร่นัดก่อนที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านสยบ สเปอร์ส สุดมันส์ 4-3 ในช่วงต่อเวลามีปัญหาที่หลัง และต้องนั่งเป็นตัวสำรองข้างสนามเนื่องจากไม่ฟิตเต็มร้อย
จากการจัดทัพรับมือ ฟูแล่ม เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนโผตัวจริงสามรายโดยหันมาใช้งาน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน , ดาร์วิน นูนเญซ และ คอสตาส ซิมิคาส ออกสตาร์ต
ด้วยเหตุนี้ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน , ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ และ โคดี้ คักโป จึงหล่นไปนั่งรอในซุ้ม ขณะที่ อิบราฮิม่า โกนาเต้ ลงเล่นให้ เร้ด แมชีน ครบ 50 นัดพอดี
2. เจ้าสัวน้อยกระอักขาดสองแกนหลัก
ฟูแล่ม ซึ่งนัดก่อนแพ้ แมนฯ ซิตี้ ในรังตัวเองแบบหวุดหวิด 2-1 บุกมาเยือน แอนฟิลด์ โดยปราศจากสองคีย์แมน อันเดรีย เปเรยร่า และ ทิม รีม ที่มีปัญหาบาดเจ็บหมดสิทธิ์ลงเล่นไปตลอดทั้งซีซั่นแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ทีมเมืองกรุงจึงหันมาใช้งาน ทอม เคียร์นีย์ ซึ่งได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมด้วย รวมถึง วิลเลี่ยน ที่ถูกส่งลงเล่นเป็น 11 คนแรก
รวมเบ็ดเสร็จ มาร์โก ซิลวา ปรับทัพมากถึงห้าตำแหน่งโดยนอกจาก เทียร์นีย์ กับ วิลเลี่ยน ที่ได้คืนโผตัวจริงแล้ว เซดริค โซอาเรส , ซาซ่า ลูคิส และ อิสซ่า ดิย็อป ก็ได้ออกสตาร์ตเช่นกัน และที่สำคัญ เจ้าสัวน้อย ต้องลงเล่นถี่ยิบถึงสี่นัดในรอบ 11 วันด้วย
3. ซาลาห์ พึ่งพาได้เสมอ
ว่ากันตามจริง ฟูแล่ม บุกมาต่อกรกับ ลิเวอร์พูล ได้ไม่เลวเลย และมีโอกาสทำเสียวใส่เจ้าบ้านด้วยเช่นกันซึ่งถือว่าสร้างปัญหาให้กับแนวรับของ เร้ด แมชีน ได้ไม่น้อย
อย่างไรก็ดี ทำนบของ เจ้าสัวน้อย มาแตกจนได้เมื่อ ดิย็อป ไปทำฟาวล์ นูนเญซ จนเสียลูกโทษ และ โม ซาลาห์ สังหารไม่พลาดพาเจ้าบ้านนำหน้าในนาทีที่ 39 แม้จากการยิงลูกโทษ 12 หนหลังเขาจะตะบันพลาดไป 4 ครั้งก็ตาม
จากประตูดังกล่าว ทำให้ดาวยิงทีมชาติ อียิปต์ สอยตาข่ายใน แอนฟิลด์ ได้เป็นลูกที่ 99 แล้วในทุกรายการ แถมเป็นลูกที่ 10 ใน 11 เกมหลังของเขาด้วยสำหรับศึก พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้
ไม่เพียงเท่านั้น บังโม ยิงประตูในเกมเหย้าทุกรายการได้เป็นนัดที่ 8 ติดต่อกันอีกด้วย (9ประตู) ซึ่งถือเป็นสถิติที่ต่อเนื่องที่สุดของนักเตะ หงส์แดง ในเกมที่ แอนฟิลด์ นับตั้งแต่ หลุยส์ ซัวเรซ ทำได้เมื่อเดือนม.ค. 2014 (8 นัดเช่นกัน)
อีกทั้งถึงขณะนี้ คิง ออฟ อียิปต์ เป็นขุนพลทีม ลิเวอร์พูล คนแรกที่กระทุ้งประตูในเกมลีกได้เกินกว่า 18 เม็ดรวมหกซีซั่นแล้วนับตั้งแต่สโมสรเลื่อนชั้นขึ้นมาได้หนล่าสุดเมื่อปี 1962
4. หงส์เอาอยู่ฟาดนิ่มอีกสามแต้ม
แม้นัดก่อน หงส์แดง หวิดเสียท่าโดน สเปอร์ส แบ่งแต้มทั้งๆที่นำหน้าไปก่อนถึงสามประตู แต่ ฟูแล่ม มีพิษสงน้อยกว่า ไก่เดือยทอง หลายขุมจึงไม่เป็นปัญหาที่เจ้าถิ่นจะรักษาสกอร์นำ 1-0 ได้แม้จะต้องอาศัย อลิสซง เบ็คเกอร์ โชว์ซูเปอร์เซฟปัดลูกยิงระยะเผาขนของ คาร์ลอส วินิซิอุส ปฏิเสธโอกาสตีเสมอของทีมเยือนก็ตามครบ 90 นาที ลิเวอร์พูล เก็บอีกสามแต้มอย่างไม่ลำบากมากนักโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าสัวน้อย ไม่ได้งัดลูกหนักออกมาใช้เลยจึงทำให้ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์เล่นกันได้อย่างสบายใจเฉิบแม้กองเชียร์อาจมีเสียวเล็กๆเนื่องจากมันเป็นเกมที่ไม่มีใบเหลืองถูกแจกให้กับนักเตะของทั้งสองฝั่งเลยแม้แต่ใบเดียวโดยในเกมนี้ทั้งสองทีมส่งบอลเข้ากรอบได้ 3 ครั้งเท่ากัน แต่แน่นอนว่าเจ้าบ้านได้ส่องยิงมากกว่ารวม 15:9 ครั้ง และครองบอลได้เหนือกว่า 58:42%
เมื่อเป็นซะอย่างนี้ ลิเวอร์พูล จึงได้เฮเป็นนัดที่ห้าในลีกแล้วซึ่งแสดงให้เห็นว่า เครื่องจักรสีแดง กลับเข้าที่เข้าทางแล้ว และชวนให้สาวก เดอะ ค็อป ได้ฝันถึงโอกาสลุ้นคว้าอันดับท็อปโฟร์มากขึ้นไปอีก
5. โปรแกรมเป็นใจอย่างแรง
หากจะบอกว่า ลิเวอร์พูล จะชนะในเกมลีกเก้านัดรวด ไม่ทราบว่าจะมีใครเห็นแย้งหรือเปล่า?
ถึงขณะนี้ เร้ด แมชีน เหลือโปรแกรมให้ลงเล่นอีกสี่เกม และเมื่อมองดูคู่แข่งของพวกเขาก็เหมือนว่าทีมของ คล็อปป์ น่าจะเอาชนะได้ไม่ยาก
ฉะนั้นแล้ว โอกาสซิวอันดับท็อปโฟร์ของ ลิเวอร์พูล ยังเป็นไปได้ไม่น้อยเลยแม้พวกเขาจะมีเกมเหลือน้อยกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ตามเพราะอย่าลืมว่า ผีแดง จะต้องตัดแต้มกับ ไบรท์ตัน ในคืนวันพฤหัสบดีนี้ และไม่ฝ่ายไหนจะสะดุดหัวคะมำ ทีมจากรั้ว แอนฟิลด์ ก็จะได้รับประโยชน์ทั้งนั้น
นอกจาก แมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว คล็อปป์ ยังแสดงความเป็นกังวลต่อ นกนางนวล เช่นกันเนื่องจากทีมของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ ลงเล่นน้อยกว่า เร้ด แมชีน ถึงสามนัด และมีแต้มตามหลังเจ็ดแต้ม แต่ไม่ต่างอะไรกับ ปีศาจแดง สักเท่าไหร่ที่ทีมอันดับ 8 รายนี้มีคิวเจอกับคู่แข่งเขี้ยวลากดินหลายนัด และไม่รู้ว่าจะเก็บแต้มเพิ่มได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือเปล่า
ต่างกับสถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ซึ่งแม้จะเหลือเกมให้ลงเล่นน้อยกว่า แต่พวกเขามีโอกาสเก็บได้อีก 12 แต้มเลยทีเดียวโดยเฉพาะนัดบู๊กับ เลสเตอร์ และ เซาธ์แฮมป์ตัน แต่กับ เบรนท์ฟอร์ด และ แอสตัน วิลล่า อาจเป็นงานยากเล็กน้อย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้กองเชียร์ หงส์แดง แอบอมยิ้มยังไงไหว
โปรแกรมในลีกสี่นัดสุดท้ายของ ลิเวอร์พูล
6 พ.ค. เบรนท์ฟอร์ด (เหย้า)
15 พ.ค. เลสเตอร์ (เยือน)
20 พ.ค. แอสตัน วิลล่า (เหย้า)
28 พ.ค. เซาธ์แฮมป์ตัน (เยือน)