ทิ้งชัยชนะให้หลุดลอยไปอีกจนได้สำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งบุกไปนำหน้า สเปอร์ส อย่างสวยหรูถึงสองประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ครึ่งแรกที่ ท๊อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 เม.ย. แต่ลงเอยแล้วโดน ไก่เดือยทอง แชร์แต้มได้สำเร็จจากผลเสมอ 2-2
ในส่วนของเจ้าถิ่นเหมือนว่าบอลเปลี่ยนโค้ชจะส่งผลดีต่อทีม แต่กับ ปีศาจแดง ทำไปทำมาในช่วงท้ายซีซั่นชักจะออกอาการหมดแรงข้าวต้มมีแรงเล่นกันแค่ 45 นาทีแรกเท่านั้นหลังจากยืนพื้นเลือกใช้งานทีมชุดเดิมมานานอย่างต่อเนื่อง
1. ไก่ปรับทัพสามรายประเดิมนายใหม่
ไรอัน เมสัน กุนซือชั่วคราวของ สเปอร์ส ซึ่งกลับมาทำหน้าที่เป็นคำรบสองแทน คริสเตียน สเตลลินี่ เปลี่ยนทีมตัวจริงสามรายจากเกมบุกไปแพ้ นิวคาสเซิ่ล ย่อยยับ 6-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ริชาร์ลิซอน กองหน้าทีมชาติ บราซิล หวนกลับมาเป็นตัวจริงเช่นเดียวกับ เกลม็องต์ ล็องเลต์ ปราการหลังซึ่งเขี่ย ป๊าป ซาร์ กับ เดยัน คูลูเซฟสกี้ หล่นไปนั่งข้างสนาม
ส่วนอีกหนึ่งตำแหน่ง อูโก้ โยริส ซึ่งเจ็บสะโพกกลางคันในเกมแพ้ สาลิกาดง และถูกเปลี่ยนตัวออกหลุดไปจากทีมโดยที่ เฟรเซอร์ ฟอร์สเตอร์ ได้กลับมาเฝ้าตาข่ายอีกรอบ
ขณะเดียวกัน เมสัน หันมาใช้ระบบหลังห้าหรือสามเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตามเดิมอย่างที่ อันโตนิโอ คอนเต้ วางระบบเอาไว้หลัง สเตลลินี่ เปลี่ยนมาใช้แผงแบ็คโฟร์ในเกมล่าสุด และล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงจนเจ้าตัวโดนปลดตามเจ้านายคู่บารมีในที่สุด
2. ผีมี บรูโน่ ฟิตออกสตาร์ตปรับโผหนึ่งจุด
แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนทีมตำแหน่งเดียวจากเกม เอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศที่ดวลลูกโทษสยบ ไบรท์ตัน ให้ เจดอน ซานโช่ ลงเล่นเป็นตัวจริงก่อนหน้า อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล เนื่องจาก บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซึ่งถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงต่อเวลาพิเศษที่ เวมบลีย์ เนื่องจากเจ็บข้อเท้าขวามีชื่อลงสนาม
ต่อการได้ลงบู๊แสดงให้เห็นว่า แฟร์นันด์ส ถือเป็นคนเหล็กแห่งวงการฟุตบอลเลยก็ว่าได้เนื่องจากเขาลงเล่นเกมลีกให้ ผีแดง เป็นนัดที่ 118 เข้าไปแล้วจาก 122 นัดโดยพลาดการลงสนามไปแค่สี่นัดจากการติดโทษแบนสองนัด ป่วยหนึ่งนัด และได้พักแข้งพักขาหนึ่งนัด
ด้าน แฮร์รี่ แม็กไกวร์ พ้นโทษแบนจากเกมฟุตบอลถ้วยน็อกเอาท์สามารถลงเล่นได้ แต่ไม่มีชื่อกัปตันทีมในเกมนี้เนื่องจากเจ็บช่วงซ้อมซึ่งทำให้ ลุค ชอว์ ได้สวมบทเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ต่ออีกนัด
สำหรับ คริสเตียน เอริคเซ่น มิดฟิลด์ทีมชาติ เดนมาร์ค ได้กลับมาฟาดเกือกกับอดีตต้นสังกัดเป็นเกมแรกนับตั้งแต่ย้ายออกไปเมื่อเดือนม.ค. 2020
3. สตาร์ตดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
เข้าสู่โหมดป่วยอย่างแท้จริงสำหรับ สเปอร์ส ยามนี้เพราะเกมเริ่มต้นไปได้แค่ 7 นาที พวกเขาก็ตาข่ายขาดอย่างเร็วจี๋เมื่อโดนทีเด็ดของ ซานโช่ เล่นงานซึ่งเป็นจังหวะแรกของเกมด้วยที่ ผีแดง มีโอกาสคลำเป้า และได้เป็นประตูนำทันที
เท่านั้นไม่พอ ก่อนจบครึ่งแรกอึดใจเดียว ผีแดง มาได้เม็ดสองปิดท้ายให้อุ่นใจมากขึ้นไปอีกจากจังหวะโต้กลับที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ตะบันตุงตาข่ายซึ่งชี้ให้เห็นว่า ไก่เดือยทอง มีเกมรับที่หละหลวมอย่างยิ่งเนื่องจากพวกเขาเสียประตูมากที่สุดในบรรดา 13 ทีมแรกของตารางคะแนน
จากภาพรวมในครึ่งแรก แม้จะเล่นในบ้านตัวเอง แต่ สเปอร์ส ซึ่งผูกปีแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด มาตลอดสมควรเป็นรองอาคันตุกะอย่างยิ่งเนื่องจากครองบอลได้แย่กว่า 39:61% และได้ยิง 6 ครั้ง เข้ากรอบ 3 ครั้ง ขณะที่ทีมเยือนได้กระทุ้ง 11 ครั้ง และเข้ากรอบ 6 ครั้งแม้แน่นอนว่าพวกเขายังต้องอาศัยนายทวารจอมหนึบอย่าง ดาบิด เด เคอา เซฟลูกอันตรายได้อย่างน่าทึ่งถึงสองหน
4. ไม่สู้มีแต่แพ้
ครึ่งหลัง สเปอร์ส ตบเกียร์ห้าเดินหน้าฆ่าลูกดียวตามระเบียบ และกดดัน แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ดีกระทั่งนาทีที่ 55 ก็ได้ประตูตีไข่แตกอย่างรวดเร็วจากการสับไกของ เปโดร ปอร์โร่ ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์พลิกผันทันที
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นเพราะ เทน ฮาก โรเตชั่นทีมน้อยมากในแต่ละนัด แถม ผีแดง เพิ่งบู๊กับ นกนางนวล มาแบบเต็มแม็กซ์ 120 นาที ปัญหาความอ่อนล้าที่สะสมมานานจึงส่งผลให้สภาพร่างกายเป็นรอง สเปอร์ส อื้อซ่า และโดนพับสนามบุกอย่างหนักกระทั่งเกือบเสียประตูตีเสมอให้ทีมเมืองหลวงหลายต่อหลายครั้ง
หลังออกอาการป้อแป้อย่างน่าเป็นห่วงประดุจโดนวางยาไซยาไนด์ ในที่สุด แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยันเกมบุกของ สเปอร์ส ไม่ไหวถูก ซน ฮึง มิน สอยประตูตีเสมอให้เจ้าถิ่นจนได้ในนาทีที่ 80 ซึ่งบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าแข้งขาของนักเตะ ผีแดง ไม่เหลือเรี่ยวแรงในการวิ่งไล่บอลทำลายเกมรุกที่บ้าคลั่งของเจ้าบ้านแล้ว และไม่ผิดแน่หากจะบอกว่าท้ายซีซั่นแบบนี้ เร้ด เดวิลส์ เล่นบอลกันได้แค่ 45 นาทีแรกเท่านั้น ขณะที่อีก 45 นาทีพวกเขาหลังมักเสียท่าให้คู่แข่งเนื่องจากหมดแรงข้าวต้มเหมือนเกม ยูโรปาลีก ที่โดน เซบีย่า ไล่ตีเสมอ 2-2 ไม่มีผิดเพี้ยน ก่อนบุกไปแพ้ขาดลอย 3-0 ตกรอบแปดทีมอย่างไม่เป็นท่า
ด้าน สเปอร์ส เห็นได้ชัดว่าหากพยายามวิ่งสู้ฟัด และใช้กลยุทธ์นี้บดบี้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด มันก่อให้เกิดผลดีกับการคว้าแต้มสำคัญได้แม้จะตกเป็นรองก่อนถึงสองประตูก็ตาม และด้วยฟอร์มใน 45 นาทีหลังอย่างนี้แหละที่สาวก ไก่เดือยทอง ต้องการเห็นมากที่สุดโดยไม่สำคัญเลยว่าลงเอยแล้วพวกเขาจะชนะ เสมอ หรือแพ้ แต่ขอให้เล่นกันด้วยความทุ่มเทเต็มร้อยเป็นพอ
ขณะเดียวกัน สถิติใน 45 นาทีหลังฟ้องให้เห็นว่า ไก่เดือยทอง สมควรแบ่งแต้มไปจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แม้รวมเวลา 90 นาทีเจ้าบ้านจะยังครองบอลเป็นรอง 40:60% แต่พวกเขาได้ลุ้นยิงประตูมากกว่าทีมเยือนเป็น 18:17 ครั้ง แม้จะส่งบอลเข้ากรอบได้น้อยกว่า 7:8 ครั้งก็ตาม
5. ทิศทางท็อปโฟร์
โอเคว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ยังไม่น่าเป็นกังวลมากนักต่อการคว้าอันดับท็อปโฟร์แม้จะทำแต้มหล่นที่ลอนดอนสองแต้มเนื่องจากพวกเขายังมีเกมตุนอยู่ในมือเหนือกว่าทีมคู่แข่ง
อย่างไรก็ดี หลังเสียท่าโดน สเปอร์ส แชร์แต้มได้สำเร็จ สิ่งที่น่าเป็นกังวลสำหรับทีมของ เทน ฮาก คือพวกเขาจะยืนระยะได้อีกนานแค่ไหนในเมื่อสภาพร่างกายของนักเตะไม่เต็มถังซะแล้ว แถมเกมหน้าต้องเจอกับ แอสตัน วิลล่า ซะด้วย แม้จะได้เล่นในบ้านก็ตาม แต่ทีมของ อูไน เอเมรี่ กำลังดีวันดีคืนไม่แพ้เลยตลอด 10 นัดหลัง แถมชนะมากถึง 8 นัดอีกต่างหาก
และที่สำคัญ กุนซือสแปนิชคงรู้ซึ้งว่า ผีแดง มีจุดบกพร่องในเรื่องกำลังวังชาที่พวกเขาสามารถลุ้นคว้าผลลัพธ์ได้ต่อให้ต้องเสียประตูก่อนก็ตามอย่างที่ สเปอร์ส แสดงให้เห็นสดๆร้อนๆ
ฝ่าย ไก่เดือยทอง การไล่ตีเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จย่อมเพิ่มพูนความเชื่อมั่นกลับคืนมาให้ทีมอีกครั้ง แต่เกมหน้า เมสัน จะเจองานหนักกว่านัดต้อนรับ แมนฯ ยูไนเต็ด แน่นอนเพราะเขาต้องพาทีมบุกไปเยือน ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ โดยทาง หงส์แดง เองก็ยังตั้งความหวังเร่งสปีดซิวโควต้าท็อปโฟร์อยู่ลึกๆแม้จากสถานการณ์ปัจจุบัน เจอร์เก้น คล็อปป์ จะยังหวังอะไรได้ไม่มากนักก็ตาม แต่อย่าลืมว่าฟุตบอลระบบชนะได้สามแต้มสามารถทำให้อันดับตารางคะแนนพลิกผันได้ทุกเมื่อเหมือนที่ อาร์เซน่อล ว่าที่รองแชมป์กำลังประสบอยู่ในเวลานี้