ไม่มีปาฏิหาริย์อะไรบังเกิดที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม นะครับ
มีแต่ความบรรลัยของไอ้ปืนโต
เมื่อ แมนฯ ซิตี้ ขยี้ อาร์เซน่อล จนเหลวแหลกแบบไม่เหลือซากในนัดชิงชนะเลิศพรีเมียร์ลีก ด้วยสกอร์ 4-1 พลางกระชาดโอกาสคว้าแชมป์มาอยู่ในมือของตัวเองแบบเต็มๆ แล้ว !!!
1.ช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลแบบนี้ที่กรำศึกหนักมาตลอด แต่ แมนฯ ซิตี้ แทบไม่มีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บมา
กวนใจ ยกเว้น เนธาน อาเก้ เพียงคนเดียว เอื้อให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จัดทีมได้แบบเต็มพิกัด
ระบบการเล่นถูกปรับอีกครั้งจาก 3-2-2-3 มาเป็น 4-3-3 ที่ไม่ซับซ้อนอะไร
มานูเอล อาคันยี่ ถูกขยับออกมาเล่นเป็นแบ็คซ้ายแทน เนธาน อาเก้ ที่เจ็บ แล้วถอย จอห์น สโตนส์ กลับมาเป็นเซ็นเตอร์ฯ คู่กับ รูเบน ดิอาส โดยให้ ไคล์ วอล์คเกอร์ เป็นแบ็คขวา
ตรงกลาง โรดรี้ ตัวรับ เควิน เดอบรอยน์ กับ อิลคาย กุนโดกัน เป็นตัวรุก
หน้า 3 ตัวมีหัวหอกตัวเป้าอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ขนาบข้างด้วย แบร์นาโด้ ซิลวา กับ แจ็ค กรีลิช
ขณะ อาร์เซน่อล ที่ขนาดทีมเล็กกว่ายังคงใช้ 11 ตัวจริงชุดเดิมๆ อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะเสมอคู่แข่งมา 3 เกมติดต่อกันก็ตาม
แมนฯ ซิตี้ เหนือกว่าทุกเหลี่ยมมุมนะครับ ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพของผู้เล่น และผู้จัดการทีม ฟอร์มการเล่นล่าสุด สภาพจิตใจ สถิติที่เจอกันในระยะหลัง รวมถึงเสียงเชียร์
แต่สถานการณ์บังคับให้ อาร์เซน่อล ต้องบุกมาเหยียบจมูกเจ้าถิ่น หรืออย่างน้อยก็ควรมีสัก 1 แต้ม กลับออกไป
2.คำถามคือ มิเกล อาร์เตต้า จะวางแผนให้ไอ้ปืนใหญ่เล่นอย่างไรในการศึกครั้งนี้ ???
เปลี่ยนสไตล์มาเล่นเกมรับแบบ "พาร์ค เดอะ บัส" แล้วค่อยๆ หาจังหวะโต้กลับ
หรือเปิดหน้าแลกด้วยการเล่นเกมรุกบุกแหลกตามสไตล์ของตัวเองนั่นแหละ
หรือจะใช้วิธีบดบี้เข้าใส่คู่แข่งอย่างรวดเร็วและรอบทิศทาง ก่อนโจมตีแบบสายฟ้าผ่าหัวหมา
...ว่าแล้วก็ระทมกบาลแทนพวกเขาอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าอุดประตู = รอโดน
เปิดหน้าแลกก็เสี่ยงเกินไป และมีโอกาสไส้แตกสูง
แต่ยังไม่ทันเห็นอะไรที่ชัดเจน อาร์เซน่อล ก็โดนทะลวงตาข่ายอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ 8 นาทีเท่านั้นเอง โถ...พ่อคุณ !!!
มันเป็นจังหวะที่พวกเขาทะลึ่งขึ้นไปบีบสูงใส่เจ้าบ้าน ก่อนที่ แมนฯ ซิตี้ จะแก้เพรสส์ได้แล้ววางบอลยาวมาข้างหน้าให้ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์
ผู้เล่นที่ประกบไอ้เด็กยักษ์คือ ร็อบ โฮลดิ้ง
แทนที่จะเตะให้กลิ้ง ยอมตัดฟาวล์ และยอมโดนใบเหลือง กองหลังปืนโตผู้นี้พยายามเบียดและแซะ
แบบนี้ก็หวานเจี๊ยบบบบบ...ซีครับ
หัวหอกตีนพระกาฬที่แข็งแรงยิ่งกว่ากระทิงจึงพักบอลได้แล้วป้ายต่อให้ เควิน เดอ บรอยน์ ควบไปตะบันตุงตาข่าย
3.แม้นจะขึ้นนำ 1-0 อย่างรวดเร็ว ทีมเรือใบสีฟ้าก็ยังคงเป็นฝ่ายครองบอลมากกว่า บุกมากกว่า และมีโอกาสทำลายตาข่ายมากกว่า
เฉพาะอย่างยิ่ง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ที่ได้สับไกหลายครั้ง แต่ดันเอาโอกาสที่ตัวเองได้รับไปยัดลงโถส้วมทั้งหมด ซึ่งหากดูจากโอกาสที่เกิดขึ้นใน 45 นาทีแรก ไม่รวมช่วงทดเจ็บ แมนฯ ซิตี้ ควรจะนำสัก 3-0 หรือ 4-0 ด้วยซ้ำ
เรียนตามตรงว่ามันกลายเป็นบอลคนละชั้น
กระทั่งก่อนจบครึ่งแรก ทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์มาได้ประตูที่ 2 จากจังหวะฟรีคิกที่ จอห์น สโตนส์ โขกเข้าไป
แทนที่จะกลับเข้าห้องแต่งตัวในช่วงพักครึ่งโดยตามแค่ประตูเดียว อาร์เซน่อล กลับต้องตามหลังถึง 2 ดอก แถมรูปเกมเป็นรองอีกตะหาก
นาทีนั้น ผู้ชมทางบ้านอย่างผมมั่นใจแบบเต็มประดาว่าไอ้ปืนโตเด๊ดห่าแน่นอนแล้วนะครับ แม้เวลายังเหลืออีกตั้งครึ่งก็ตาม
แล้วก็ไม่ผิดอะไรจากที่คิดเอาไว้ เพราะเริ่มครึ่งหลังได้แค่ 10 นาที เควิน เดอ บรอยน์ ก็ยิงให้เจ้าบ้านนำห่าง 3-0
หลังจากนั้นก็ผ่อนเกมพลางถนอมตัวผู้เล่น ก่อนจบที่ 4-1
4.แมนฯ ซิตี้ เล่นได้ไฉไลเป็นบ้านะครับทั้งเกมรุกและเกมรับ
เกมรุกฉาบฉวย ไม่ต่อบอลไปต่อบอลมาให้มากจังหวะ ตู่แข่งผิดพลาดหรือเปิดช่องให้เมื่อไหร่ก็จู่โจมเร็วทันที ขณะเกมรับก็สามารถปิดจุดเด่นทางริมเส้นของ
อาร์เซน่อล จนอยู่หมัด
เควิน เดอ บรอยน์ เด่นมาก นอกจากขับเคลื่อนเกมรุก ยังกะซวกคนเดียว 2 ดอก และแอสซิสต์อีก 1 ครั้ง
เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ เกือบยิงไม่ได้ สุดท้ายก็ยิงได้ แถมเป็นคนเปิดป้อนให้ 'เคดีบี' ยิงทั้ง 2 ประตู คิดเอาแล้วกัน !!
5.หลังจบเกม
ผมลองนั่งทางใน & จับยามสามตา เลียนแบบ
"หมอแปลก" (ดร.สเตร๊นจ์) ในหนัง อเวนเจอร์ เผด็จศึก เพื่อหา "ทางรอด" ของ อาร์เซน่อล
ปรากฏว่า "หาไม่เจอ" ครับ
กล่าวคือไม่ว่าพวกเขาจะเล่นแบบไหน หรือ มิเกล
อาร์เตต้า จะวางแผนมาอย่างไร รถบัส เปิดหน้าแลก หรือเพรสซิ่งใส่
อย่างไรก็ไม่รอด
ไม่ว่าจะเล่นแบบไหน ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมามีอยู่แค่ 2 ทาง คือ "ตาย" กับ "ตาย"
ส่วนโอกาสที่ อาร์เซน่อล จะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดํกาลนี้ก็น่าจะจบลงแล้วเช่นกัน
2 นัดที่ตกค้าง แมนฯ ซิตี้ ขอแค่ 2 แต้ม ก็แซงได้แล้ว
บอ.บู๋