สี่นัดหลังสุดไม่แพ้เลย เก็บได้ 8 คะแนน..

สี่นัดหลังสุดไม่แพ้เลย เก็บได้ 8 คะแนน..
หลังจากถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ บอมบ์กระเจิง 1-4 เมื่อต้นเดือนเมษายน ลิเวอร์พูลก็ไม่แพ้ใครอีกเลยและค่อยๆ เข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น

มันเริ่มด้วยผลเสมอน่าเบื่อกับเชลซี ต่อด้วยการไล่ตีเสมออาร์เซน่อลอย่างน่าประทับใจ

เกมที่ถูกทีมปืนใหญ่นำ 2-0 แล้วสวมหัวใจสิงห์ไล่บดขยี้จ่าฝูงจนโอนเอนสร้างบรรยากาศแห่งความเชื่อมั่นให้กลับมาอีกครั้ง แน่นอนคำถามยังคงอยู่แต่ด้วยสถานการณ์ภายในทีมที่เริ่มลงตัวขึ้น นักเตะตัวหลักกลับมาลงสนามและโชว์ฟอร์มอีกครั้ง สมาชิกใหม่ก็ปรับตัวเข้ากับทีมได้ดีกว่าเดิม ความหวังจึงยังพอมีให้ได้สัมผัสในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของฤดูกาล

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่เราจะทำให้ดีที่สุดในทุกๆ เกมที่เหลือ

มันตามมาด้วยการตอบคำถามใหญ่อีกสองข้อ บุกถล่ม ลีดส์ ยูไนเต็ด 6-1 และเกมล่าสุดที่เฉือนชนะ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในแอนฟิลด์

สองนัดหลังสุด 6 คะแนนเต็ม.. ผลงานเกมเยือนที่ย่ำแย่ก็ดูสว่างไสวขึ้นกับชัยชนะมโหฬารที่เอลแลนด์ โร้ด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ตัวความหวัง ดีโอโก้ โชต้าที่ร่างกายสมบูรณ์เต็มที่ โกดี้ คักโป และ ดาร์วิน นูนเญซ สองนักเตะใหม่ทำประตูกันถ้วนหน้า โชต้ากับคักโปยังผ่านให้เพื่อนทำประตูได้อีกนอกจากยิงเอง กัปตันจอร์แดนทำแอสซิสต์ เคอร์ติส โจนส์ที่ยังต้องพิสูจน์ตัวเองทำแอสซิสต์ และเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลับมาทำอีก 2 แอสซิสต์

ภาพดีๆ จากเกมถล่มลีดส์ยังคงคลุมเคลือในเรื่องการไว้วางใจอยู่บ้าง สกอร์ขาดลอยอาจเป็นภาพลวงตาเพราะลีดส์ก็กำลังแย่หนักต้องหนีตกชั้นและวันนั้นทีมยูงทองเล่นกันได้แย่ที่สุดเกมหนึ่งในฤดูกาล ขณะที่ผลงานของลิเวอร์พูลเองก็ไม่เคยสม่ำเสมอเลยนับตั้งแต่เปิดซีซั่นมา มันจึงยังต้องรอชัยชนะอื่นๆ ตามมาสมทบเพื่อให้เดอะค็อปและนักวิจารณ์ได้เชื่อมั่นกับทีมอีกครั้ง

กระนั้นมันก็ตอบคำถามเรื่องฟอร์มการเล่นของตัวรุกและผลงานในเกมเยือนได้ระดับหนึ่งว่าสามารถทำได้ดีเหมือนกันเมื่อเทียบกับปัญหาที่ต้องเจอในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก

กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ที่แอนฟิลด์กลายเป็นเรื่องเกินคาดหมาย ลิเวอร์พูลชนะได้ก็จริงแต่เหนื่อยหนักชนิดหืดขึ้นคอ ถูกทีมเยือนเล่นงานจนแฟนบอลต้องกัดเล็บลุ้น ทุกครั้งที่บอลถูกบอมบ์เข้าเขตโทษคล้ายทีมพร้อมจะเสียประตูทุกเมื่อ มองเห็นชัดเจนถึงความปั่นป่วนที่เกิดขึ้น

แน่นอนครับมันไม่ใช่ภาพที่ดีหรอก และความกังวลก็ยังคงไม่หายไปไหน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นและแตกต่างออกไปจากช่วงแย่ๆ ที่ผ่านมาก็คือ ในเกมที่อึดอัดเจาะไม่เข้า เกมรุกโอเพ่นเพลย์แทบจะไร้พิษสงและตื้อตันจินตนาการ เกมรับสับสนจนหายใจไม่ทั่วท้อง ลิเวอร์พูลก็ยังมีความเด็ดขาดจากลูกนิ่งนำชัยให้ทีม

โจทย์ของลิเวอร์พูลยังเหมือนเดิมคือทุกนัดนับจากนี้ต้องสามแต้มเท่านั้น ชนะให้ได้ทั้งหมดแล้วค่อยมาดูตารางคะแนนกันอีกที หากโชคดีฟ้าฝนเป็นใจอันดับสี่อาจเป็นไปได้ หากทำไม่ได้ไม่เกี่ยวกับโชคหรือดวงแต่เป็นผลงานตลอดฤดูกาลที่ผ่านมาล้วนๆ ซึ่งต้องไปแก้ตัวกันใหม่หลังการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงซัมเมอร์

เจ็ดเกมที่เหลืออยู่ของลิเวอร์พูลคือ เวสต์แฮม (เยือน) สเปอร์ส (เหย้า) ฟูแล่ม (เหย้า) เบรนท์ฟอร์ด (เหย้า) เลสเตอร์ ซิตี้ (เยือน) แอสตัน วิลล่า (เหย้า) และ เซาธ์แฮมป์ตัน (เยือน)

ว่ากันตามตรง โอกาสชนะรวดยากเหลือเกิน ทุกเกมสุ่มเสี่ยงต่อการเสียคะแนนทั้งหมด สเปอร์สอันตรายตรงที่เป็นทีมใหญ่คุณภาพดี ฟูแล่ม เบรนท์ฟอร์ด แอสตัน วิลล่าอันตรายที่ผลงาน ส่วนเวสต์แฮม เลสเตอร์ และเซาธ์แฮมป์ตัน อันตรายที่กำลังดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อหนีตกชั้น

ดูการต่อสู้ของฟอเรสต์ในเกมเมื่อคืนก็ได้ครับ เจอกับทีมหนีตายนั้นยากเสมอ เพราะพวกเขาจะสู้เหมือนเป็นเกมสุดท้ายในชีวิต รับเต็มที่ รุกแบบมีความหวัง สู้ทุกลูก ปะทะทุกดอก การเล่นที่เคยหละหลวมจะถูกขันแน่นขึ้นกว่าเดิม เพียงคุณภาพนักฟุตบอลเท่านั้นที่ยังเป็นรอง

จากสถานการณ์ในพื้นที่โซนตกชั้นที่พลิกไปพลิกมาได้ตลอด บางทีเกมนัดปิดฤดูกาลที่ไปเยือนเซนต์ แมรี่ส์ ทีมนักบุญเจ้าบ้านอาจจะยังมีความหวังอยู่รอดก็ได้แม้เวลานี้จะจมบ๊วย ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้งานหนักเป็นเท่าตัว

แต่ก็นั่นล่ะครับ อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิด เราไม่ต้องพะวงคนอื่น เวลานี้สนใจตัวเองดีกว่า มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีเรื่องอะไรดีๆ พัฒนาขึ้นบ้าง และยังมีจุดที่ต้องปรับแก้ไขหรือเพิ่มเติมตรงไหนบ้างสำหรับฤดูกาลหน้า

ที่เห็นชัดเจนมากคือเกมรับที่ยังคงไม่นิ่ง ความหนักแน่นหายไป ชั้นเชิงที่เคยเหนือกว่าคู่แข่งหายไป การอ่านเกมตัดบอลสำคัญลดประสิทธิภาพลงไป การป้องกันลูกโด่งยังมีปัญหา ความไม่นิ่งเหล่านี้ยังปกคลุมเกมป้องกันของทีมอยู่ มันเป็นจุดที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ปล่อยผ่านแน่นอนในช่วงปิดฤดูกาล

ผมคิดว่าเราน่าจะได้บริหารหัวใจกันแบบนี้ต่อไปแน่ๆ ในเกมที่เหลืออยู่ของฤดูกาล จะกี่เกมนั้นบอกไม่ได้ ถ้าจังหวะลงล็อกเหมือนครึ่งหลังที่เอลแลนด์ โร้ด ก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก แต่ถ้าเป็นแบบครึ่งหลังของเกมที่แอนฟิลด์เมื่อคืนนี้หัวใจพวกเราจะได้สูบฉีดเลือดลมหนักหน่วงทีเดียว

หัวใจสำคัญของปัญหานี้ย่อมเป็นผลงานที่ตกลงไปของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เริ่มมีความคิดเห็นว่าฟาน ไดค์ อายุมากแล้ว ควรปลดระวางได้แล้ว ดัน อิบราฮิมา โกนาเต้ ขึ้นมาเป็นตัวหลักและซื้อเซนเตอร์แบ๊กคนใหม่มาเข้าคู่โดยด่วน

ตรงนี้ต้องรอดูการตัดสินใจของคล็อปป์เท่านั้นล่ะครับ แต่สำหรับผมยังเชื่อว่าในวัย 31 ปี ฟาน ไดค์ ยังเล่นต่ออีก 3-4 ปีได้สบาย ผู้เล่นในตำแหน่งเซนเตอร์แบ๊กระดับโลกสามารถยืนระยะเล่นในระดับสูงได้จนถึงอายุสามสิบกลางๆ ได้เลย จริงอยู่ฤดูกาลนี้เขาฟอร์มตก การอ่านเกม เข้าปะทะ หรือแย่งบอลไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิมแต่ฟอร์มตกได้ก็กลับมาฟอร์มขึ้นได้

คลาสของเขายังมี มันไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ความมั่นใจ สภาพร่างกาย หรือการตอบสนองในรายละเอียดบางอย่างอาจจะพร่องไปและตรงนั้นก็เป็นหน้าที่ของเขาเองรวมทั้งทีมงานที่จะดึงมันกลับมาให้เหมือนเดิม

ความสนใจของผมในเรื่องนี้คืออยากเห็น ฟาน ไดค์ คนเดิมกลับมา อยากสัมผัสความรู้สึกอุ่นใจและภูมิใจนั้นอีกครั้ง ผมยังเชื่อว่าฟอร์มที่เคยดีเยี่ยมของเขานั้นไม่ได้ผ่านไปแล้วและผ่านไปเลย มันยังกลับมาได้อีก

สิ่งที่เป็นความจริงคือนับตั้งแต่เจ็บหนักครั้งนั้น ฟาน ไดค์ ก็ยังไม่อาจกลับไปอยู่ในจุดเดิมได้อีกเลย มันอาจเป็นปัญหาเรื่องสภาพจิตใจ เรื่องร่างกายของตัวเขาเอง เรื่องผลงานของเพื่อนร่วมทีมคนอื่นรอบข้างด้วย หรือหลายๆ เรื่องประกอบกัน ซึ่งแน่นอนคนทำงานอย่างคล็อปป์และตัวฟาน ไดค์ เองย่อมรู้ดีที่สุดว่าปัญหานี้หนักหนาแก้ไขได้หรือไม่ได้แค่ไหนอย่างไร

ผมหวังว่า ฟาน ไดค์ จะกลับมาได้ในที่สุด ผมยังเห็นเขาเป็นผู้นำในเกมรับของทีม แต่ถ้าคล็อปป์จะมองต่างเห็นเป็นอย่างอื่นและเตรียมปลดระวางปราการเหล็กดัตช์ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ยังคงเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเขาเต็มที่เสมอ

ส่วนเกมแดนกลางยังไม่ทรงพลังเหมือนก่อนแม้จะดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา แต่อย่างน้อยเราก็ได้เห็นอะไรใหม่ๆ อย่างการใช้ เทรนต์ ขยับเข้าไปยืนช่วยทำเกมเวลาได้บอลบุกก็เป็นหนึ่งในความพยายามแก้ไขปัญหาอย่างที่คล็อปป์เคยพูดเอาไว้ ในภาพรวมแล้วมันดูดีขึ้นเรื่อยๆ

เรามองเห็นบทบาทล่าสุดของเทรนต์และการได้ลงสนามถี่ขึ้นในช่วงหลังของ เคอร์ติส โจนส์ น่าจะเป็นการส่งสัญญาณถึงภาพในฤดูกาลหน้าว่าแดนกลางของทีมจะมีทั้งสองคนอยู่ในกลุ่มด้วยร่วมกับ สเตฟาน บายเซติช และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ส่วนแต่ละคนจะมีบทบาทระดับไหนขึ้นอยู่กับกองกลางคนใหม่ที่คล็อปป์และทีมงานจะดึงเข้ามาเสริม

ส่วนเกมรุกน่าจะชัดเจนที่ทีมชุดนี้ ซาลาห์-คักโป-โชต้า-ดาร์วิน-หลุยส์ ดิอาซ ห้าคนที่เป็นตัวหลักหมุนเวียนกันลงสนาม โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ย้ายออกแน่ ส่วน ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ มีข่าวว่าจะขายให้ทีมที่สนใจ จะมีใครใหม่เข้ามาเสริมไหมก็ต้องรอดูการวิเคราะห์และตัดสินใจของทีมงานเช่นกัน

ลุ้นความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ก็สนุกและตื่นเต้นดีเหมือนกันนะครับ แต่นั่นคือเรื่องที่จะเกิดขึ้นในช่วงปิดฤดูกาล จริงๆ แล้วเรายังตื่นเต้นได้โดยไม่ต้องรอให้ถึงตรงนั้น

ด้วยผลงานไม่แพ้ใครมา 4 เกมติดต่อกันและชนะรวดใน 2 นัดล่าสุดโดยยิงได้ถึง 9 ประตู คะแนนห่างจากอันดับสี่เหลือ 6 แต้ม.. ผมคิดว่าเรายังสนุกกับทุกเกมที่เหลืออยู่ได้อย่างเต็มที่ในฤดูกาลนี้

พุธนี้เจอเวสต์แฮม อาทิตย์หน้าเจอสเปอร์ส พุธถัดไปเจอฟูแล่ม และเสาร์หลังจากนั้นเจอเบรนท์ฟอร์ด

สี่เกมนี้น่ากลัวตรงที่เป็นเกมเตะต่อเนื่อง พุธ-อาทิตย์-พุธ-เสาร์ ถ้าเรามองจากสภาพความสดของทีมที่ได้เตรียมตัวมาหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ก่อนบุกถล่มลีดส์ ยูไนเต็ด และการให้สัมภาษณ์ในเชิงพอใจกับเวลาซ้อมที่เต็มอิ่มของคล็อปป์ เราจะเข้าสู่สามเกมสุดท้ายด้วยสภาพที่สดเต็มที่ทั้งหมดทั้งเกมเยือนเลสเตอร์ เหย้ารับแอสตัน วิลล่า และเยือนทีมนักบุญ

ผ่าน 4 เกมที่จะถึงให้ได้ก่อน อย่างน้อยมันก็เป็นเกมเหย้าถึง 3 นัด แล้วจากนั้นก็มาลุยใน 3 เกมสุดท้ายด้วยสภาพที่สดเต็มที่ในแต่ละเกม

ฤดูกาล 2020/21 ลิเวอร์พูลเร่งเครื่องชนะ 8 เสมอ 2 ใน 10 เกมสุดท้าย ชนะรวดใน 5 เกมหลังสุดตีตั๋วไปแชมเปี้ยนส์ ลีกอย่างไม่น่าเชื่อ

ฤดูกาลนี้ ความยากที่ต้องเจอนั้นยิ่งกว่า.. แต่ถ้าโอกาสยังมี สิทธิ์ที่จะหวังก็ยังคงเป็นของเรา ใครก็ขโมยมันไปไม่ได้

หากนั่นก็เป็นเพียงเรื่องระยะสั้น การมีลุ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีกอยู่ลึกๆ แค่ช่วยทำให้ฤดูกาลนี้ยังสนุกอยู่เท่านั้น แต่ของจริงคือระยะต่อไปที่จะเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเข้าสู่ซีซั่นใหม่

ตรงนั้นล่ะครับที่น่าสนใจยิ่งกว่าและคล็อปป์กับลูกทีมของเขาก็เริ่มเตรียมตัวให้เห็นแล้วตั้งแต่ตอนนี้..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport