เออร์ลิง ฮาลันด์ คือกองหน้าหมายเลข 1 ของโลก ณ ตอนนี้ กระนั้นการที่เขากลายสภาพเป็นเครื่องจักรสังหารไม่ใช่ว่าจะทำได้เพียงแค่ชั่วข้ามคืน แต่ต้องมาจากการฝึกฝนอย่างหนัก โดยเฉพาะการได้รับความช่วยเหลือรวมทั้งให้คำแนะนำจากหลายๆ คนจนทำให้เขาตกผลึกกลายเป็นสุดยอดดาวยิงในปัจจุบัน
หัวหอกชาวนอร์เวย์ ถือเป็นนักเตะที่แนวรับและผู้รักษาประตูหวาดหวั่นอย่างมาก แต่การที่เขาจะก้าวมาได้ถึงขนาดนี้ต้องขอบคุณ ทอร์ด ยอห์นเซ่น ซัลเต้ กับ อันเดรียส อูเอลันด์ สองนักฟุตบอลโนเนมเพื่อนร่วมชาติ
ยอห์นเซ่น ซัลเต้ เคยผ่านการเล่นให้กับสโมสรดังอย่าง โอลิมปิก ลียง ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ตอนที่ยังเป็นดาวรุ่ง และปัจจุบันย้ายไปทำมาหารับประทานกับ อเรนดัล สโมสรในระดับดิวิชั่น 3 ประเทศนอร์เวย์ บ้านเกิดเมืองนอน
ขณะที่ อูเอลันด์ มีโอกาสได้เดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ก่อนจะถูก นิวอิงแลนด์ เรฟโวลูชั่น ดราฟต์ตัวไปร่วมทีมเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะแยกทางกันหลังผ่านไปแค่ 2 เดือน และตอนนี้ อูเอลันด์ กลายเป็นนักเตะไร้สังกัด
ทั้ง ยอห์นเซ่น ซัลเต้ และ อูเอลันด์ เกิดและเติบโตที่เมืองไบรน์ ซึ่งเป็นเมืองเกษตรกรรมเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ นอร์เวย์ โดยทั้งสองคนถือเป็นกองหลังฝีเท้าดีตอนที่เล่นอยู่กับสโมสรท้องถิ่น, ได้รับการยกย่องในระดับประเทศสมัยที่ยังเป็นนักเตะระดับเยาวชน ที่สำคัญพวกเขามีส่วนช่วยทำให้ ฮาลันด์ กลายเป็นยอดดาวยิงฟอร์มฮอต
ฮาลันด์ อายุน้อยกว่า ยอห์นเซ่น ซัลเต้ และ อูเอลันด์ เพียงแค่ 1 ปี โดยในช่วงที่อายุ 7 ขวบเขาแสดงทักษะลูกหนังชั้นยอดเหนือกว่าบรรดานักเตะรุ่นเดียวกัน จึงทำให้ต้องขยับรุ่นขึ้น 1 ปี จนกระทั่งเจ้าตัวอายุ 15 ปี และต้องดวลกับผู้เล่นที่มีพัฒนาการมากกว่าอย่าง ยอห์นเซ่น ซัลเต้ และ อูเอลันด์ ซึ่งทำให้ ฮาลันด์ ต้องเจอกันงานสุดหิน
"เขาต้องเจอกับเรื่องที่สุดแสนยากลำบากในช่วงฝึกซ้อม" อัล์ฟ อิงเว เบิร์นสเท่น โค้ชทีมเยาวชนของไบรน์ กล่าว "เราไม่ได้สอนอะไรเขาเลย เราก็แค่ปล่อยให้เขาเล่นอย่างเต็มที่"
การฝึกซ้อมที่แสนยากลำบากตลอดระยะเวลาหลายปี เปรียบเสมือนการบ่มเพาะ ฮาลันด์ ให้กลายเป็นนักเตะระดับโลก และสร้างผลงานสุดยอดกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยเฉพาะการตะบัน 40 ประตูจาก 47 ลูกมาจากการยิงแบบวันทัช หรือยิงแบบไม่จับ
ฮาลันด์ ไม่สามารถใช้พละกำลังที่มีอยู่ต่อสู้กับ 2 เซนเตอร์ฮาล์ฟรุ่นพี่ที่ไบรน์ได้ ซึ่งปัจจุบันสิ่งนี้ก็ไม่ใช่วิธีที่เขาใช้ดวลกับกองหลังเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่ ดาวเตะชาวนอร์เวย์ ต้องทำก็คือการใช้มันสมองเพื่อคิดกลยุทธ์ในการเอาชนะทั้ง 2 คนให้ได้ ดังนั้นนี่คือวิธีที่ช่วยให้เขาพัฒนาศักยภาพจนขึ้นมาในระดับสูงได้อย่างรวดเร็ว
"การสู้กับกองหลังเหล่านั้น เขาต้องฉลาด" เบิร์นสเท่น กล่าว "คู่ต่อสู้ของเขาค่อนข้างเก่ง เราคงไม่สามารถพัฒนา เออร์ลิง ได้ เขาต้องทำสิ่งนี้ด้วยตัวเอง มันเป็นเรื่องดีสำหรับ เออร์ลิง ที่จะได้เรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่าให้คนแก่อย่างผมคอยบอกเขาว่าเขาต้องวิ่งไปตรงไหน เขาสามารถพัฒนาเรื่องความเร็วด้วยตัวเองด้วย
การซ้อมแบบกลุ่มย่อยทำให้ ฮาลนด์ สามารถประเมินความสำคัญของพื้นที่ว่าง มีตัวอย่างให้เห็นมากมายในฤดูกาลนี้ที่เขาแสดงให้เห็น แต่มีอยู่ 1 ประตูซึ่งเป็นจังหวะที่เขาซัดประตูที่สองในเกมถลุง คริสตัล พาเลซ 4-2 เมื่อเดือนสิงหาคมเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมในเรื่องนี้ เมื่อเขายืนอยู่เกือบจะเลยเสาสอง และได้ยิงสบายๆ เนื่องจากไม่มีใครตามประกบตรงพื้นที่นั้นเลย
อีกตัวอย่างเกิดขึ้นในเกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จากจังหวะที่เขายิงประตูที่สองของตัวเองในเกมพบ เลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อเจ้าตัววิ่งต่ำกว่า 2 กองหลัง "เดอะ ฟ็อกซ์" ก่อนที่จะหาพื้นที่ว่าง และกระชากบอลเข้าไปชิพข้ามตัว แดเนียล ไอเวอร์เซ่น เข้าไปซุกก้นตาข่ายอย่างเหนือชั้น มันแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานด้านร่างกาย และความฉลาดรวมทั้งสายตาเพชฌฆาตได้อย่างลงตัว ซึ่งส่งให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นตำนานพรีเมียร์ลีกภายในระยะเวลาแค่ 12 เดือนเท่านั้น
"เขาเล่นด้วยสัญชาตญาณเสมอ และนั่นมีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ที่เคยเจอ" เบิร์นสเท่น ระบุ "มันไม่ใช่แค่เรื่องความแข็งแกร่ง และพละกำลัง มันจะเป็นเรื่องของความสามารถด้านเทคนิค และความฉลาด, การหลอกกองหลัง เขาจดจำสถานการณ์เหล่านั้นได้หมด"
"เรามีกลุ่มนักเตะ 40 คนที่ไบรน์ บางครั้งเราก็มีการแบ่งพวกเขาลงเล่นในทีมที่มีความเท่าเทียมกัน เรื่องนี้อาจจะมีผลดีกับสภาพจิตใจ เพราะเขาต้องปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ตอนที่ผมได้ดูวีดิโอเก่าๆ สมัยที่เขาอายุ 13 ปี การเคลื่อนที่ของเขามันคล้ายกับตอนนี้เลย"
"เมื่อเปรียบเทียบกับบางประตูที่เขายิงได้ในการซ้อมแบบอินดอร์ตอนอายุ 13 ปีมันก็ดูขำๆ ดีแต่ทุกอย่างเหมือนกันมากๆ สไตล์การเล่นของเขาเป็นแบบนี้ตลอดช่วงหลายๆ ปี การเคลื่อนที่ก็เหมือนกัน ปกติแล้วเมื่อ
คุณได้พบกับคู่แข่งที่เหนือกว่าคุณมักจะหยุดพัฒนา แต่ เออร์ลิง ปรับตัวได้เสมอเพื่อยกระดับไปอีกขั้น และนั่นไม่ใช่เรื่องปกติ"
หนึ่งในจุดเด่นของ แมนฯ ซิตี้ สำหรับฤดูกาลนี้ก็คือการประสานงานอย่างเข้าขาระหว่าง เควิน เดอ บรอยน์ กับ ฮาลันด์ โดย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือชาวสแปนิช เผยว่า "แน่นอนว่าการประสานงานกันของทั้งสองคนมีความเป็นธรรมชาติ เราไม่ได้ซ้อมเรื่องนี้ เราไม่ได้คุยกันเลย"
"เรามักจะมองหา เออร์ลิง เพราะเมื่อไหร่ที่เขายิ่ง มันจะเป็นการสร้างพื้นที่ว่าง และจากนั้นบอลก็ถูกส่งไปแบบพอดิบพอดี เขาเป็นนักเตะที่ยากจะหยุดได้ เรารู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี" นายใหญ่ทัพ "สำเภาทอง" กล่าว