หลังถล่ม แมนฯ ยูไนเต็ด สิ้นซากถึง 7-0 ในศึกแดงเดือด ลิเวอร์พูล ก็ไม่ชนะในพรีเมียร์ลีก 4 เกมติดต่อกัน จนกระทั่งบุกมาเยือน เอลแลนด์ โร้ด เมื่อคืน
ในเมื่อจะกลับมาชนะทั้งทีก็ต้องทำให้โลกจดจำ ว่าแล้วพวกพรี่ๆ ก็กด ลีดส์ ไป 6 ดอกเน้นๆ และนี่คือสิ่งที่อยากจะบอก
1.เจอร์เก้น คล็อปป์ ใช้ตัวผู้เล่นชุดเดิมที่กลับมาจากความบรรลัยในเกมเสมอ อาร์เซน่อล 2-2 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
หมายความว่า เคอร์ติส โจนส์ ยังคงได้ลงเป็นตัวจริงก่อนผู้เล่นในนตำแหน่งเดียวกันอย่าง ติอาโก้ อัลคันตาร่า และฮาวี่ย์ เอลเลียตต์
ผมเห็นพวกพรี่ๆ ในโลกโซเชี่ยลบ่นกันใหญ่เลย แต่นักเตะที่เด็กหงส์เรียกว่า โจนส์ เบลลิงแฮม ก็สามารถลบคำสบประมาทด้วยการบรรจงผ่านบอลให้ ดิโอโก้ โชต้า พังประตูอย่างสุดสวย
ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คุณพี่เขาก็มีส่วนร่วมกับการทำประตูตีไข่แตกในเกมกับ อาร์เซน่อล
ดูทรงแล้วน่าจะยึดตำแหน่งแบบยาวๆ แถมเผลอๆ ไม่ต้องเสียเงินซื้อมิดฟิลด์คนใหม่ รวมถึง จู๊ด เบลลิงแฮม ด้วย 555555 หยอกๆๆๆ
2. บทบาทใหม่ของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
ในเมื่อมีปัญหามากนักกับการเล่นเป็นแบ็คขวา กุนซือกะโปกเหล็กอย่าง 'เจเค' จับนักเตะผู้นี้มาเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางมันซะเลย !!!
ศัพท์ลูกหนังสมัยใหม่พากย์ว่า...อินเวิร์ต ฟูลแบ็ค เหมือนกับที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ชอบใช้ (เอริค เทน ฮาก ก็เอาวิธีนี้มาใช้เช่นกัน)
เวลา ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายครองบอล เทรนต์ เอเอ จะหุบเข้ามาเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางคู่กับ ฟาบินโญ่ โดยปักหลักอยู่หน้าคู่เซ็นเตอร์ฯ
ถามว่าทำแบบนี้ไปทำแมวน้ำอะไร
เท่าที่พยายามสังเกต ผู้ชมทางบ้านอย่างผมเห็นอยู่ 2 อย่าง
หนึ่งคือให้ เทรนต์ เป็นตัวพักบอลในแดนกลาง แล้วคอยวางบอลยาวทแยงมุมบ้าง วางแนวลึกไปตรงๆ บ้าง โดยมี ฟาบินโญ่ เป็นลูกหาบ คอยเล่นเกมรับ
หนึ่งคือเพื่อดัน เคอร์ติส โจนส์ กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ขึ้นสูง แล้วถ่าง โม ซาล่าห์ กับ ดิโอโก้ โชต้า ไปติดริมเส้น - เวลาบุกเหมือนมีกองหน้าเป็นหน้ากระดานถึง 5 คน
ต่อเมื่อ "หงส์แดง" เป็นฝ่ายรับ เทรนต์ ก็แทบไม่กลับไปประจำการในตำแหน่งแบ็คขวา เพราะเซ็นเตอร์ฮาล์ฟอย่าง อิบราฮิมา โกนาเต้ จะอ่านเกมแล้วฉีกตัวเองออกไปเป็นแบ็คขวาแทน
2 นัดล่าสุด เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้ลูกทีมเล่นแบบนี้ ผลตอบรับค่อนข้างดีนะครับ เมื่อ เทรนต์ มีส่วนกับการได้ประตูทั้ง 2 นัดเลย
3. ครึ่งชั่วโมงแรก ลิเวอร์พูล มีปัญหาในการเจาะเข้าทำประตูนะครับ แม้จะเป็นฝ่ายครองบอลอยู่เพียงฝ่ายเดียวก็ตาม เนื่องจาก ลีดส์ ยังเล่นเกมรับพลางปิดพื้นที่ได้แน่นหนา แล้วหาจังหวะตอบโต้อย่างฉาบฉวย พอได้น่ำได้เนื้ออยู่เหมือนกัน
กระทั่งจังหวะที่ จูเนียร์ ฟีร์โป้ ทำบอลเสียในแดนตัวเองจนถูก เทรนต์ ฉกไปถวายพานให้ โคดี้ คักโป กระทุ้งตาข่ายนั่นแหละ
ภาพช้าแสดงให้เห็นว่า "ทีเอเอ" ทำแฮนด์บอลชัดเจน แถมยกแขนขึ้นมาขวางบอลซะด้วย แต่เข้าใจว่าศึกพรีเมียร์ลีกประจำสัปดาห์นี้ อนุญาตให้ทำแฮนด์บอลได้เป็นกรณีพิเศษ เพราะเมื่อวันอาทิตย์ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในเกมระหว่าง เวสต์แฮม กับ อาร์เซน่อล และ ฟอเรสต์ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด
ขนาด แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ทำแฮนด์บอลแบบเห็นๆ ในเขตโทษ ผู้ตัดสิน และ VAR ยังยกประโยชน์ให้จำเลย
ฉะนั้นอย่าไปคิดมาก อย่าไปโวยวาย อย่าไปรักความยุติธรรมอะไรมาก เพราะนี่คือมาตรฐานของผู้ตัดสินในพรีเมียร์ลีกมาตั้งนานแล้ว
4. หลังถูกนำไป 2-0 ลีดส์ ตีไข่แตกไล่มาเป็น 2-1 อย่างรวดเร็วในช่วงต้นครึ่งหลังนะครับ
เพียงแต่นั่นกลับทำให้เจ้าบ้านพังพินาศมากกว่าเดิมอีก
คือหลังทุบไข่ได้สำเร็จ ผู้เล่นของ ลีดส์ ดันฮึกเหิม และได้ใจเกินเหตุ ว่าแล้วดาหน้าบุกแบบไม่คิดชีวิต
ผลปรากฎว่า "หลังลอย" จนถูกผู้มาเยือนย้อนศรมาได้ดอกที่ 3
จริงๆ ถ้ามีสติมากกว่านี้สักนิดพอๆ กับรู้จักศักยภาพของตนเอง ลีดส์ จะพบว่าตัวเองมีเวลาอีกเยอะ โดยไม่จำเป็นต้องรีบโหมบุกกระหน่ำ
เพราะยิ่งบุก ยิ่งโดน ด้วยหลังรั่ว ผู้รักษาประตูก็อู๊ดดี้เหลือเกิน (ตรงเป็นตุง)
พอโดน 3-1 ก็โหมเอาคืนจนโดน 4-1 ซึ่งน่าจะยอมยกธง เพื่อที่จะแพ้ให้น้อยที่สุด
แต่เหมือนเลือดเข้าตา และไม่ยอมหายบ้าบิ่นจึงโดนไปอีก 2 ดอก ก่อนแพ้ด้วยสกอร์ 6-1 อันส่งผลเสียต่อการหนีตกชั้น หากจำเป็นต้องวัดผลต่างประตูได้เสียในบั้นปลายของฤดูกาล
5. ชัยชนะนัดนี้เหมือนจะกระชากความมั่นใจกลับคืนมาให้ ลิเวอร์พูล อีกครั้ง
สถานการณ์ล่าสุด พวกพรี่ๆ เขาตามหลังทีมอันดับ 4 ของตารางอย่าง นิวคาสเซิ่ล อยู่ 9 แต้ม โดยเหลือ 8 นัด ยังพอมีความหวังแบบเล็กๆ
เพียงแต่ห้ามพลาดแบบ "ผีเข้า-ผีออก" แล้วนะครับ
อย่างไรก็ตาม
หากตีลูกไม่ถึงดวงจันทร์ มันก็ยังตกอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว คืออย่างน้อยก็อาจได้ไปเล่นใน ยูโรปา ลีก หรือ ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก ก็ได้...นะจ๊ะ
ส่วน ลีดส์ ยูไนเต็ด อาการน่าเป็นห่วง สถานการณ์ของพวกเขายังหมิ่นเหม่เหมือนนั่งสไลด์หนอนด้วยความเร็วปานกลางอยู่หน้าปากเหว เหนือโซนอันตรายแค่ 2 แต้มเท่านั้น
ยังดีที่ตอนนี้ 3 ทีมท้ายตารางก็ฟอร์มห่วยไม่แพ้กัน
บอ.บู๋