ตอนนั้นกับตอนนี้

ตอนนั้นกับตอนนี้
ฟอร์มอันน่าอึดอัดในเกมกับ เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา คลับคลาว่านั่นอาจเป็นหนึ่งในเกมที่น่าเบื่อที่สุดที่เคยดู

ส่วนนัดที่ก้มหน้าออกจาก เอติฮัด สเตเดี้ยม ด้วยความพ่ายแพ้นั้น เราได้เห็นเกมบุกเพลินตาของทีมเจ้าถิ่น มองแล้วรู้สึกสนุกกับการเคลื่อนที่ไหลลื่นได้ขนาดนั้น

การออกไปเล่นเกมเยือนของตอนนี้ ไม่ว่า ลิเวอร์พูล จะเจอกับใคร แย่มาจากไหน หรือชอกช้ำมานานเท่าใด ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า ลิเวอร์พูล จะได้ผลการแข่งขันที่น่าพอใจกลับออกมา

อย่าว่าแต่เรื่องผลการแข่งขันเลยครับ รูปแบบการเล่น สีหน้าสีตาของนักเตะดูหมองไปอย่างสิ้นเชิง

เวลานี้ไม่ว่าจะออกไปเยือนใคร แฟนบอลจะเกิดอาการกลัวอยู่เสมอว่า ลิเวอร์พูล จะเอาตัวไม่รอด 

แต่ก่อนมันไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย แต่ก่อนไม่ว่าพวกเขาจะต้องเจอกับทีมไหนในเกมถ้วยยุโรปคุณก็มักจะมั่นใจได้เลยว่า ลิเวอร์พูล ชุดนี้จะปิดงานของตัวเองได้ในการไปเยือนทีมเหล่านั้น 

จะไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่คุณจะเกิดความรู้สึกว่า ลิเวอร์พูล จะเล่นได้ผิดฟอร์ม, จะสร้างโอกาสทำประตูไม่ได้, ไม่มีทางต่อกรกับคู่แข่งได้ หรือรับมือกับความกดดันไม่ได้

ปกติ ทีมเจ้าบ้านมักจะเป็นฝ่ายควบคุมเกม แต่กับทีมนี้มันไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายที่กำหนดความเข้มข้นของเกมได้อยู่เสมอ เพราะพวกเขาต้องการให้คู่แข่งเล่นตามเกมของตัวเอง

ถ้า ลิเวอร์พูล เจอปัญหาในการจบสกอร์ คุณก็จะเห็นว่าพวกเขาจะเดินหน้าต่อไป และจะหาทางเจาะคู่แข่งได้ในท้ายที่สุด 

แต่ตอนนี้มันเกิดความกังวลว่า ลิเวอร์พูล ชุดนี้มีโอกาสที่จะพังทลายได้ตั้งแต่นาทีแรก ซึ่งในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เราไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน

ความรู้สึกน่าผิดหวังมันเกิดขึ้นตั้งคำถามในหัว จากก่อนหน้านี้ในช่วง 4 ฤดูกาลหลังสุด พวกเขาแพ้เกมเยือนแค่ 9 นัดเท่านั้นจากจำนวนทั้งหมด 50 เกม

กลับกันในซีซั่นนี้ "เดอะ ค็อป" นั่งชมทีมรักตัวเองแพ้ไปแล้ว 8 ครั้ง และมีเพียง 3 ครั้งเท่านั้นที่ได้รับชัยชนะ

นี่เป็นฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 30 ปีสำหรับผลงานการเล่นเป็นทีมเยือน ช่วงเวลาอันน่าเกรงขามยามเป็นอาคันตุกะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

หนสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล มีช่วงเวลาทีมเยือนแย่ขนาดนี้ต้องย้อนไปสมัย แกรม ซูเนสส์ เป็นผู้จัดการทีม

มันเกิดขึ้นในฤดูกาล 1992/93 โดยที่ตอนนั้นเกมลีกแข่งขันกัน 42 นัด ซึ่ง 21 นัดสำหรับทีมเยือน "หงส์แดง" ชุดดังกล่าว ชนะ 3 เสมอ 7 และแพ้ไป 11

อันที่จริง การเริ่มฤดูกาลนี้ของ ลิเวอร์พูล นั้น พวกเขาทำได้ดีทีเดียวในการเล่นนอกถิ่น แอนฟิลด์

เกมนั้นคือรายการคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ที่ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ปราบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าโล่ห์การกุศลไปได้ที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม

ทุกคนทราบดีว่า ลิเวอร์พูล ต้องลงตลาดครั้งใหญ่ในช่วงซัมเมอร์นี้เพื่อกอบกู้ตำแหน่งของตัวเองที่สร้างกันมาตลอด 5-6 ปี

อย่างไรก็ตาม ในเวลาอีกไม่กี่นัดก่อนสิ้นสุดซีซั่นแห่งความผิดหวัง การคว้าชัยชนะนอกบ้านอีก 3 นัดที่เหลือ(ลีดส์, เลสเตอร์ ซิตี้, เซาธ์แฮมป์ตัน) เป็นอย่างน้อย มันน่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น และเพื่อไม่แย่ไปกว่าตอนปี 2004/05 หรือ 2010/11 ที่ ลิเวอร์พูล ชนะ 5 เสมอ 3 และแพ้ 11

ถึงแม้ว่า ลีดส์ จะแพ้คาบ้านต่อ คริสตัล พาเลซ แบบเละเทะในเกมล่าสุด แต่พวกเขาก็ยังต้องดิ้นรนเพื่อต่อลมหายใจเล่นบนลีกสูงสุด ขับเคี่ยวกับพวก เวสต์แฮม, เลสเตอร์ และ เซาธ์แฮมป์ตัน

การเล่นที่ แอนฟิลด์ มันแตกต่างออกไป ที่นี่ ลิเวอร์พูล แพ้แค่ครั้งเดียวในฤดูกาลนี้ ซึ่งนั่นคือชัยชนะตอนนาที 89 จาก ครายเซนซิโอ ซัมเมอร์วิลล์ นักเตะ"ยูงทอง"

ใช่แล้ว ลีดส์ ทีมนี้คือทีมเดียวที่สามารถบุกชนะ ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ ได้

บางคนอาจคิดว่า การเคยผ่านจุดแย่ ๆ แบบนี้มาแล้วทำให้สามารถรับมือไหว แต่สำหรับบางคนเมื่อชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนก็ฉุกคิดได้ว่าสมัยนั้น ลิเวอร์พูล ไม่ได้เป็นทีมชั้นยอดแบบนี้

ต้องเข้าใจในจุดนี้ว่า เมื่อเอาผลงานช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล คือทีมระดับชั้นนำ มีแชมป์มาประดับสโมสรได้หลายใบ ซึ่งนั่นคือความแตกต่างอย่างมาก 

ถ้าเป็นสมัยก่อน ไม่ว่ายุค ราฟา เบนิเตซ หรือช่วง 10 ปีก่อนแค่การติด 4 อันดับแรกก็ถือเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมแล้ว แต่ทีมชุดนี้คว้าแชมป์มาครองได้อยู่เสมอและมีลุ้นแชมป์อยู่ตลอด

วามมั่นใจมีส่วนสำคัญอย่างมาก ถ้าเล่นได้ดีอย่างต่อเนื่องคุณก็จะมีความมั่นใจ และมันจะมีผลต่อเนื่องกับการเล่นสูง

บางครั้งเมื่อตกเป็นฝ่ายตามหลังตั้งแต่ตอนที่แฟนบอลยังไม่เข้ามาเต็มสแตนด์ หลายคนขึ้นมายังที่นั่งแล้วถามคนข้าง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น 

ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนคำตอบที่ได้คือ "ไม่ต้องแปลกใจมากหรอก เดี๋ยวเราก็กลับมาได้ หลังจากพักครึ่งไปแล้ว เราจะมาลุยกันอีกครั้ง"

หากมีเหตุการณ์แบบว่า ทีมอย่าง ลีดส์, เบรนท์ฟอร์ด หรือ บอร์นมัธ ยิงขึ้นนำ ลิเวอร์พูล ได้ก่อนก็อาจได้ผลการแข่งขันที่ดีกลับมา

ถ้าเป็นหลาย ๆ ฤดูกาลที่ผ่านมา ไม่มีใครคิดหรอกว่าทีมเหล่านั้นจะมีความเชื่อมั่น ต่อให้พวกเขาจะนำ ลิเวอร์พูล ได้ก่อน

แต่ตอนนี้พวกเขาเชื่อมั่นเต็มที่ว่าตัวเองก็มีโอกาสอย่างนั้นได้แล้ว

HOSSALONSO

    


ที่มาของภาพ : GETTY IMAGE
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport