ทำไปทำมาสถานการณ์แย่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก ส่อเค้าว่าจะเป็นใจและเข้าทาง แมนฯ ซิตี้ ซะแล้วหลังจาก อาร์เซน่อล ทำได้แค่บุกไปเสมอ ลิเวอร์พูล 2-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
แน่นอนว่าทีม ปืนใหญ่ ยังรักษาเก้าอี้จ่าฝูงได้ก็จริง หากแต่ช่องไฟแปดแต้มที่ลดลงเหลือหกแต้มทำให้ร้านรับพนันหันมาเชื่อฝีเกือก เรือใบสีฟ้า โดยยกให้แชมป์เก่ากลับมาเป็นเต็งหนึ่งแทนแล้วเพราะหากทีมเงินถังซึ่งลงเล่นน้อยกว่าหนึ่งนัดชนะรวด รวมถึงนัดต้อนรับทีมเมืองหลวงด้วย พวกเขาก็จะได้แชมป์ไปครองจากผลต่างประตูได้เสียที่น่าจะเหนือกว่า
ฉะนั้นแล้ว การทำแต้มหลุดมือสองแต้มหลังอุตส่าห์บุกไปสอยตาข่าย หงส์แดง ได้ก่อนถึง 2-0 จึงทำให้มองกันว่าทีมของ มิเกล อาร์เตต้า อาจแผ่วปลายเหมือนท้ายซีซั่นก่อนที่โดน สเปอร์ส แซงหน้าเข้าป้ายเป็นอันดับสี่คว้าโควต้าลงเล่นถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก แทนอย่างเจ็บแสบ
ฉะนั้นแล้ว บางทีนี่อาจเป็นห้าเหตุผลที่บ่งชี้ว่า เดอะ กันเนอร์ส จะต้องอกหักในท้ายที่สุด
1. ไร้ประสบการณ์
หากมองดูขุมกำลังของ แมนฯ ซิตี้ จะเห็นได้ว่าแต่ละรายล้วนเป็นจอมล่าโทรฟี่ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น เควิน เดอ บรอยน์ , อิลคาย กุนโดกัน , แบร์นาร์โด้ ซิลวา , ริยาด มาห์เรซ และ จอห์น สโตนส์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ผ่านประสบการณ์แบบนี้มาแล้วทั้งสิ้น
จึงเป็นธรรมดาที่ดาวเตะของ กวาร์ดิโอล่า จะมีภาษีเหนือกว่าในจุดนี้ แถมอย่าลืมว่าพวกเขาทำลายสถิติต่างๆมาแล้วมากมายเช่นกัน
สำหรับ อาร์เซน่อล พวกเขาได้สองขุนพลค่าย เรือใบสีฟ้า ไปเติมเต็มจุดดังกล่าวทั้ง กาเบรียล เชซุส และ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ แต่มันไม่น่าจะมากพอต่อการพาทีมประสบความสำเร็จ
กระนั้นก็ดี หากจะตัดเรื่องประสบการณ์ทิ้งไป ทีม ปืนใหญ่ มีนักเตะที่เล่นได้อย่างโดดเด่นในซีซั่นนี้สามรายทั้ง บูคาโย่ ซาก้า , กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และ มาร์ติน โอเดการ์ด
"มันเป็นเพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่ไม่เคยอยู่ในจุดนี้มาก่อน เราจึงไม่รู้ว่าต้องรับมือยังไง" อาร่อน แรมสเดล นายทวารทีมเมืองหลวงเคยเอ่ยออกมาหลังเกมถล่ม เอฟเวอร์ตัน 4-0 เมื่อเดือนก่อน
"ดังนั้นเราจึงลงเล่นแต่ละนัดด้วยคิดว่าเราอยู่ในอันดับ 10 หรือ 12 เราพยายามชนะให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"
จนในที่สุด อาร์เซน่อล ก็ออกอาการลุกลี้ลุกลนให้เห็นกับการมาเยือน แอนฟิลด์ และโดน ลิเวอร์พูล เร่งเกมตีเสมอชนิดที่เจ้าบ้านน่าจะแซงชนะในช่วงท้ายเกมด้วยซ้ำไป
แล้วอย่างนี้ ทีมของ อาร์เตต้า จะจัดการกับสถานการณ์ยังไงเมื่อถึงคิวบุกไปเยือน แมนฯ ซิตี้ ในวันที่ 26 เม.ย.
2. ฮาลันด์ ตัวตึง
นาทีนี้ มาร์ติเนลลี่ ผงาดเป็นดาวซัลโวสูงสุดของ อาร์เซน่อล แล้วในเกม พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้จากผลงาน 14 ประตูซึ่งถือว่าไม่เลวเลยสำหรับปีกชาวเมืองกาแฟ
รองลงมา ซาก้า ยิงได้ 13 ประตู ตามด้วย โอเดการ์ด 10 ประตู ขณะที่ เชซุส ก็น่าจะคลำเป้าได้สองหลักเช่นกันหากไม่เจ็บเข่าซะก่อนในช่วง ฟุตบอลโลก จนต้องร้างสนามไปนานสามเดือน
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้ไม่มีใครเทียบกับ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ได้เลย
ดาวยิง แมนฯ ซิตี้ ระเบิดตาข่ายในเกม พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว 30 ประตูจากนัดบุกไปยำใหญ่ เซาธ์แฮมป์ตัน 4-1 เมื่อวันเสาร์ รวมทุกรายการหอกร่างยักษ์กระทุ้งไปแล้ว 44 ประตูเท่ากับสถิติสูงสุดของลีกอังกฤษในหนึ่งซีซั่นที่ รุด ฟาน นิสเตลรอย กับ โม ซาลาห์ ถือครองร่วมกัน
มองดูแล้ว สตาร์ทีมชาติ นอรเวย์ จะทำลายสถิติของ ซาลาห์ ในหนึ่งซีซั่นของ พรีเมียร์ลีก 34 ประตูได้แน่ และอาจยิงได้ถึง 50 เม็ดในซีซั่นแรกของเขากับสังเวียนแข้ง เอติฮัด สเตเดี้ยม ด้วย
ถึงตรงนี้ ฮาลันด์ เป็นหัวหอกที่อันตรายที่สุดในโลกลูกหนังไปแล้ว และมันส่งผลให้ แมนฯ ซิตี้ ได้เปรียบทีมคู่แข่ง
"เราใช้ชีวิตกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ มานานสองทศวรรษที่น่าทึ่ง แต่เขาก้าวขึ้นมาเทียบเคียงได้แล้ว" กวาร์ดิโอล่า เอ่ยยกย่อง ฮาลันด์ ต่อ บีบีซี เมื่อไม่นานมานี้
3. ชาคา คนหัวร้อน
รอย คีน ตำนานทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งสวมบทกูรูค่าย สกาย สปอร์ตส์ บ่งชี้ว่า กรานิต ชาคา เป็นตัวแปรทำให้ อาร์เซน่อล พลาดการกำชัยเหนือ ลิเวอร์พูล
แม้จะนำหน้าเจ้าบ้าน 2-0 แต่ท้ายครึ่งแรก มิดฟิลด์เลือดเดือดทีมชาติ สวิตเซอร์แลนด์ เข้ากระแทกใส่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ หลังหงุดหงิดที่ไม่ได้ลูกฟาวล์ และโดนคู่กรณีเอาคืนกระทั่งได้ใบเหลืองไปทั้งคู่
และนับจากวินาทีนั้น มันส่งผลให้กองเชียร์ หงส์แดง ลุกฮือส่งเสียงกระตุ้นนักเตะเต็มที่กระทั่ง โม ซาลาห์ ซัดลูกตีไข่แตกได้สำเร็จ
ด้วยเหตนี้ พฤติกรรมของ ชาคา ในจังหวะดังกล่าวจึงถูก คีน มองว่าช่วยจุดไฟให้กับ ลิเวอร์พูล ลุกโชนมากขึ้นกระทั่งทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ตีเสมอ 2-2 ได้สำเร็จเนื่องจากทีมเมืองหลวงต้านเกมรุกที่เป็นพายุของเจ้าถิ่นไม่อยู่
"ผมไม่ใช่แฟน อาร์เซน่อล แต่หากผมเป็นแฟน อาร์เซน่อล คุณจะทำยังไง?" เจมี่ คาร์ราเกอร์ กูรูอีกรายเห็นพ้องกับ คีน
"เกมอยู่ในมือของคุณแท้ๆ แล้วทำไมคุณต้องปะทะทุกจังหวะด้วย? การเผชิญหน้ากับ เทรนต์ ทำให้แฟนบอลลุกฮือ แน่นอนว่า ชาคา โง่มากที่ทำแบบนั้น เขากลับมาเป็น ชาคา คนเดิม"
คล้ายกับว่าดาวเตะวัย 30 ปีไม่คิดเรียนรู้ และบางทีเขาอาจทำให้เพื่อนร่วมทีมผิดหวังก็ได้จากอุปนิสัยเลือดร้อนที่ทำให้ตัวเองได้ใบเหลืองง่าย และได้ใบแดงบ่อยเกินควร
4. กวาร์ดิโอล่า กุนซือขั้นเทพ
อาร์เตต้า ใช้เวลาสามปีเรียนรู้กลยุทธ์การโค้ชจากยอดผู้จัดการทีมที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม
กุนซือสแปนิชซึบซับแนวทางของ กวาร์ดิโอล่า ราวกับโคลนนิ่งกันมาระหว่างที่เขาเป็นมือขวาในทีม เรือใบสีฟ้า ก่อนผละออกมากุมบังเหียน อาร์เซน่อล ด้วยตัวเองในปี 2019
อย่างไรก็ดี อดีตนายใหญ่ บาร์เซโลน่า ปฏิเสธการถูกมองว่ามีบทบาทต่ออาชีพผู้จัดการทีมของ อาร์เตต้า ในการให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนต.ค.
"ผมอยากจะบอกว่า ซิตี้ มีอิทธิพลต่องานของเขาที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม แต่ผมโกหก บางทีผมได้เรียนรู้จากเขามากกว่าที่เขาเรียนรู้จากผมด้วยซ้ำตอนที่เราได้ร่วมงานกัน"
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความจริงก็คือความจริงเนื่องจาก กวาร์ดิโอล่า ถือเป็นแบบอย่างชั้นดี และจนทุกวันนี้เขายังคงเป็นยอดกุนซือเช่นเดิม
หลักฐานคือการพาทีมบุกไปสยบ อาร์เซน่อล 3-1 เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ซึ่ง อาร์เตต้า ออกอาการบ้าคลั่งที่ริมสนามบ่อยครั้ง และตะโกนสั่งการนักเตะถี่ยิบ ขณะที่ กวาร์ดิโอล่า เยือกเย็นสุดขีด
แน่นอนว่าในเกมดังกล่าว อาร์เซน่อล ตามตีเสมอ 1-1 ได้ในครึ่งแรก และทำให้ กวาร์ดิโอล่า ปรับให้ทีมหันมาเล่นในระบบ 3-2-2-3 โดยเปลี่ยน มานูเอล อาคันยี่ ลงไปแทน ริยาด มาห์เรซ จนส่งผลให้ เรือใบสีฟ้า คุมสถานการณ์ได้อยู่หมัด
จากชัยชนะที่มีต่อทีม ปืนใหญ่ พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่ากุนซือเลือดกระทิงดุซึ่งครองความเป็นเจ้าในลีกอิงลิชแทบไม่พลาดเลยเมื่อถึงเกมบิ๊กแมตช์
อย่างไรเสีย อาร์เตต้า มีโอกาสแก้มือลูกพี่ในเกมที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม วันที่ 26 เม.ย. แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เรือใบสีฟ้า กลับมามีโอกาสคว้าแชมป์สูงกว่าแล้ว
5. โปรแกรมหนักอึ้ง
นอกจากรอต้อนรับ อาร์เซน่อล แล้ว แมนฯ ซิตี้ ยังมีเกมออกนอกบ้านที่ต้องบุกไปเยือน ฟูแล่ม , เบรนท์ฟอร์ด และ ไบรท์ตัน แต่คงไม่เซอร์ไพรส์อะไรหากพวกเขาจะกำชัยได้เรียบวุธเนื่องจากพวกเขาเคยทำมาได้ก่อน
ถึงกระนั้น กวาร์ดิโอล่า มีเรื่องให้ต้องพะวงเช่นกันเนื่องจากเขายังหวังพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ และ แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วย แต่เมื่อมองดูขุมกำลังของทีมมหาเศรษฐีก็เชื่อแน่ว่าเขาจะเอาอยู่แม้จะไม่มีอะไรการันตีว่าพวกเขาจะได้แชมป์รวมทั้งสิ้นกี่รายการ
ในทางกลับกัน อาร์เซน่อล มีศึก พรีเมียร์ลีก เหลืออยู่รายการเดียวเท่านั้น แต่ปัญหาคือความกดดันที่ต้องออกไปเยือน เวสต์แฮม ทีมร่วมเมืองที่ต้องสู้ตายเพื่อหนีการตกชั้น ก่อนต้องต้อนรับ เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมบ๊วยที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดเช่นกัน
เท่ากับว่าหากอยากได้แชมป์ลีก อาร์เตต้า ก็จะต้องพาทีมเก็บหกแต้มจากสองนัดนี้ให้ได้เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมาก่อนบุกไปฟาดแข้งกับ แมนฯ ซิตี้ ที่อาจเป็นเกมตัดสินแชมป์
อย่างไรก็ดี หลังเกมเยือน เรือใบสีฟ้า ทีม ปืนใหญ่ ยังมีโจทย์หนักรออยู่อีกกับการต้อนรับ เชลซี ช่วงปลายเดือนเม.ย. ตามด้วยการบุกไปฟัดกับ นิวคาสเซิ่ล ที่หวังคว้าอันดับท็อปโฟร์ แล้วกลับมาเฝ้าบ้านปะทะ ไบรท์ตัน ของกุนซือ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ ที่ต้องการพา นกนางนวล ซิวโควต้าเล่นถ้วยยุโรปเช่นกัน
อีกทั้งไม่แน่ว่า อาร์เซน่อล จะลื่นล้มในเกมบุกไปเยือน ฟอเรสต์ หรือเปล่าก่อนที่พวกเขาจะลงเล่นนัดสุดท้ายในบ้านโม่เกือกกับ วูล์ฟส์ ซึ่งกลับมามีพิษสงแล้วหลังดึง จูเลน โลเปเตกี มาคุมทีม
กล่าวโดยสรุปได้ว่าหาก เดอะ กันเนอร์ส ยังเก็บแต้มได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยในเกมที่เหลืออยู่ พวกเขาก็สมควรได้แชมป์ไปครองโดยมีข้อแม้ว่าพวกเขาจะต้องเอาชนะ แมนฯ ซิตี้ ในเกมสำคัญให้ได้ด้วยเช่นกันเพื่อปิดฉากซีซั่นอย่างระบือลือลั่น