เอริค เทน ฮาก นายใหญ่ชาวดัตช์ เตรียมเดินหน้านำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เก็บชัยชนะให้ได้ต่อเนื่อง โดยแมตช์ต่อไปพวกเขาต้องรับมือ เอฟเวอร์ตัน ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 8 เมษายนนี้ โดยข่าวดีก็คงหนีไม่พ้นการที่ คริสเตียน เอริคเซ่น หายเจ็บมีชื่อได้ลงสนามเกมแรกในรอบกว่าสองเดือน ส่วนข่าวร้ายก็คือ ลุค ชอว์ หมดสิทธิ์ลงเล่น อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานี้ขุนพล "ผีแดง" กำลังฮึกเหิมสุดๆ แต่กระนั้นก็อย่าประมาททีมหนีตายอย่าง "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เพราะพวกเขาพร้อมสู้แบบถวายหัวเพื่อคว้าคะแนนกลับบ้านให้ได้
1. เอริคเซ่น คืนทัพ
ข่าวดีสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็คือการที่พวกเขาจะได้ คริสเตียน เอริคเซ่น มาช่วยปั้นเกมแดนกลางรับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส หลังนักเตะไม่ได้ลงสนามนานกว่าสองเดือน เนื่องจากได้รับบาดเจ็บหนักในเกมชนะ เรดดิ้ง ศึกเอฟเอ คัพ เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา งานนี้ เอริค เทน ฮาก แฮปปี้สุดๆ เพราะ "ผีแดง" ขาดตัวสร้างสรรค์เกมแดนกลาง เพราะ เฟร็ด กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ไม่สามารถสร้างผลงานดีมีคุณภาพได้เหมือนกับแข้งชาวเดนมาร์ก ขณะที่ แฟร์นันด์ส ก็ดูเหมือนจะเน้นไปที่การเล่นตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ เวลาต้องลงมายืนต่ำก็เป็นการลดประสิทธิภาพของเขา ฉะนั้นเมื่อ เอริคเซ่น คืนสนาม สาวก "เร้ด อาร์มี่" คงจะได้ห็นการเปิดบอลสวยๆ บริเวณแดนกลางมากยิ่งขึ้น
2. ชอว์ เดี้ยงซะแล้ว
เมื่อมีข่าวดีก็ต้องมีข่าวร้าย เพราะ เทน ฮาก หมดสิทธิ์ใช้งาน ลุค ชอว์ ในเกมปะทะ เอฟเวอร์ตัน หลังจากนักเตะมีปัญหาบาดเจ็บระหว่างเกมที่เฉือน เบรนท์ฟอร์ด เมื่อกลางสัปดาห์ แน่นอนว่าการไม่มี แบ็กซ้ายชาวอังกฤษ ลงเล่นทำให้ประสิทธิภาพในการทะลุทลวงด้านริมเส้นฝั่งซ้ายลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะ ไทเรลล์ มาลาเซีย ยังไม่สามารถทดแทนการเล่นของ ชอว์ ได้ แม้ในเรื่องเกมรับกับความมุ่งมั่นอาจจะมีเต็มเปี่ยม แต่การขึ้นเกมรุกที่ดุดันในแบบของชอว์ เทียบกันไม่ได้เลย ฉะนั้นนี่คือจุดที่ กุนซือชาวดัตช์ ต้องขบคิดอย่างหนักในแมตช์นี้
3. ทีมหนีตายสู้ถวายหัว
แม้เกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะเหนือกว่าหลายขุม แถมยังได้เล่นในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่พวกเขาก็อย่าประมาทอย่างเด็ดขาด เพราะ เอฟเวอร์ตัน ตอนนี้เป็นพวกหลังพิงฝา หรือหมาจนตรอก ฉะนั้นสิ่งเดียวที่ ฌอน ไดซ์ จะสั่งลูกทีมก็คือการสู้แบบถวายหัว เพราะทุกเกมนับจากนี้ไปจนกระทั้งปิดซีซั่น "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ต้องมีคะแนน ถ้าหากอยากอยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีก ที่สำคัญทีมอย่างเอฟเวอร์ตัน เวลาที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดพวกเขามักจะสร้างชอตปาฏิหาริย์ให้เห็นอยู่ตลอด ยกตัวอย่างในเกมเสมอ สเปอร์ส บอกตามตรง "ไก่เดือยทอง" ควรจะได้สามคะแนน แต่มาเจอลูกยิงผีจับยัดในช่วงนาทีสุดท้ายของเกม ทุกอย่างก็กลับตาลปัตรชนิดที่แฟนบอลทีมต้องอึ้งมาแล้ว
4. แรชฟอร์ด ความหวังของทีม
ในยามที่เกมรุกของ แมนฯ ยูฯ ตื้อๆ มาร์คัส แรชฟอร์ด สามารถช่วยให้ทีมคว้าสามคะแนนสำคัญได้บ่อยๆ ฉะนั้นเขาคือตัวความหวังของ "ผีแดง" ในทุกๆ เกม และสำหรับแมตช์กับ เอฟเวอร์ตัน เชื่อว่า เทน ฮาก จะจับ "แรชชี่" ยืนทำหน้าที่เป็นหน้าเป้า โดยให้ เจดอน ซานโช่ กับ อันโตนี่ ทำหน้าที่ป้อนบอลให้เขาจากริมเส้นทั้งสองฝั่ง งานนี้ต้องบอกว่า แรชฟอร์ด ทำหน้าที่ในตำแหน่งหน้าเป้าได้ดีกว่า เวาท์ เว็กฮอร์สต์ และมีประโยชน์มากกว่า อย่าลืมว่าความเร็ว และการยิงที่เฉียบคมของ หัวหอกชาวอังกฤษ น่าจะทำให้แนวรับทีมเยือนต้องระมัดระวัง จนไม่กล้าดันสูงเพื่อเล่นเกมรุกมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น แรชฟอร์ด ซัดไปแล้ว 19 ประตูใน "โรงละครแห่งความฝัน" ฤดูกาลนี้ มากกว่าเพื่อนร่วมทีม นับตั้งแต่ที่ เวย์น รูนี่ย์ เคยทำได้เท่ากันในซีซั่น 2011/2012
5. โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด สนามหลอนทีมเยือน
ปัจจุบัน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไม่ใช่รีสอร์ท แอนด์ สปา เหมือนที่โดนล้อเลียนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะพวกเขาแข็งแกร่งมากๆ กับการเล่นในบ้าน สถิติบ่งบอกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการเล่นใน "โรงละครแห่งความฝัน" นั้น "ผีแดง" แพ้แค่เกมเดียวจาก 23 แมตช์หลังสุดในพรีเมียร์ลีก (ชนะ 15 เสมอ 7) ยังไม่หมดแค่นั้นพวกเขายังสามารถเก็บชัยชนะ 13 เกมติดต่อกันเมื่อเป็นฝ่ายยิงประตูขึ้นนำเวลาที่เล่นเกมลีกใน "เธียเตอร์ ออฟ ดรีม" ด้วย ฉะนั้นนี่คือจุดแข็งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เหนือกว่า เอฟเวอร์ตัน ยิ่งไปกว่านั้น "เร้ด เดวิลส์" มีแรงกระตุ้นสำคัญที่จะเก็บสามคะแนน เพื่อรักษาอันดับท็อปโฟร์เอาไว้ให้เหนียวแน่น เพราะหากพลาดนั่นหมายถึงอันดับที่อาจเปลี่ยนไปได้ทันที
ทอมเม้ง