คงอึดอัดกันน่าดูสำหรับแฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งต้องลุ้นกันชนิดตัวโก่งตัวงอกว่าที่ ผีแดง จะเอาชนะ เบรนท์ฟอร์ด ได้แบบหวุดหวิดด้วยสกอร์ 1-0 ในการฟาดแข้งฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันพุธที่ 5 เม.ย.
แม้สกอร์จะไม่สวยหรูเหมือน นิวคาสเซิ่ล คู่แข่งแย่งอันดับท็อปโฟร์ซึ่งบุกไปยำใหญ่ เวสต์แฮม 5-1 ในเวลาเดียวกัน แต่อย่างน้อย แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เก็บสามแต้มสำคัญได้ และล้างแค้น เดอะ บีส์ ได้สำเร็จหลังเคยบุกไปโดนขยี้เละ 4-0 ในเกมที่สองของซีซั่น และที่สำคัญ อย่าลืมว่าสามเกมหลังในลีก เร้ด เดวิลส์ ซึ่งสะกดคำว่าชนะไม่เป็นไม่อาจพังประตูคู่แข่งได้เลยแม้แต่เม็ดเดียวอีกด้วย
1. เว็กฮอร์สต์ ไม่ได้ไปต่อ
เอริค เทน ฮาก กุนซือทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจปรับทีม 11 ตัวจริงแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นแม้เกมล่าสุดพวกเขาจะบุกไปแพ้ นิวคาสเซิ่ล แบบหมดสภาพ 2-0
นายใหญ่ดัตช์เลือกใช้งาน เจดอน ซานโช่ กลับมาเป็นตัวจริงโดยที่ เวาท์ เว็กฮอร์สต์ หัวหอกคนโปรดหล่นไปนั่งข้างสนามจนได้หลังโดนวิจารณ์อย่างต่อเนื่องจากฟอร์มที่ฝืดไม่เลิก
อย่างไรก็ดี แม้จะถูกจิกว่าเล่นได้แย่ในเกมบู๊กับ สาลิกาดง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ยังได้ลงเล่นในแดนกลางร่วมกับ มาร์เซล ซาบิตเซอร์ เหมือนเดิมในยามที่ กาเซมีโร่ ติดโทษแบนโดย เฟร็ด ต้องนั่งสำรองต่อไป
2. เดอะ บีส์ ปรับโผรายเดียวเช่นกัน
โธมัส แฟร้งค์ ผู้จัดการทีม เบรนท์ฟอร์ด โรเตชั่นทีมแค่ตำแหน่งเดียวเช่นกันจากเกมบุกไปเสมอกับ ไบรท์ตัน อย่างสุดมัน 3-3 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
สำหรับตำแหน่งที่ว่า ผึ้งพิฆาต เลือกใช้งาน มัดส์ โรเออร์สเลฟ วิงแบ็คฝั่งขวาชาวเดนมาร์คก่อนหน้า อาร่อน ฮิคกีย์ ที่มีชื่อเป็นตัวสำรอง แต่ทีมเยือนได้ แชนดอน บัปติสเต้ พ้นโทษแบนมานั่งอยู่ข้างสนาม
3. แรชฟอร์ด สร้างความแตกต่าง
หลังจากบุกเข้าใส่ เบรนท์ฟอร์ด อยู่นาน 27 นาที ในที่สุด แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้ประตูที่พวกเขาต้องการจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด เจ้าเก่าซึ่งตะบันให้ทีมได้เป็นเม็ดที่ 28 แล้วในซีซั่นนี้ซึ่งเทียบเท่าสถิติที่ดีที่สุดของขุนพลทีม ผีแดง ต่อหนึ่งซีซั่นหลังพ้นยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดย ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส เคยยิงได้ 28 ประตูเช่นกันในซีซั่น 2016/17 และ 2020/21
และหากจะนับกันหลังจากจบศึก ฟุตบอลโลก 2022 แรชฟอร์ด ยิงประตูใน พรีเมียร์ลีก ได้มากกว่านักเตะทุกรายแล้ว (11 ประตู) เป็นรองแค่ วิคเตอร์ โอซิมเฮน กองหน้าทีม นาโปลี รายเดียวในห้าลีกใหญ่ของยุโรปเนื่องจากสตาร์ทีมชาติ ไนจีเรีย เข่นไปแล้ว 12 ประตูเมื่อนับจากช่วงเวลาเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น กองหน้าวัยเบญจเพสเข่นประตูชัยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเกม พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ได้ 10 ลูกแล้วซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดในหมู่ขุนพล ผีแดง ต่อหนึ่งซีซั่นเทียบเท่ากับที่ เวย์น รูนีย์ กระทุ้งได้ 10 เม็ดเช่นกันในซีซั่น 2009/10
และหากจะนับรวมทุกรายการ แรชฟอร์ด ยิงประตูในเกมเหย้าซีซั่นนี้ได้ 19 เม็ดแล้ว มากกว่านักเตะ ผีแดง ทุกรายนับตั้งแต่ รูนีย์ ทำได้เช่นกันในซีซั่น 2011/12
แต่จะอย่างไรก็ตาม ต้องถือว่า แมนฯ ยูไนต็ด สมควรได้ประตูนำ เบรนท์ฟอร์ด ในช่วงครึ่งแรกด้วยเนื่องจากพวกเขาเล่นได้เหนือกว่าเยอะทั้งการครองบอล 73:27% และโอกาสยิงที่เจ้าบ้านมีมากกว่าถึง 12 ครั้ง แต่จำเป็นต้องพัฒนาความคมให้มากกว่านี้เนื่องจากพวกเขาส่งบอลเข้ากรอบได้แค่ 2 ครั้ง ขณะที่ทีมเยือนได้ลุ้นครั้งเดียว และไม่เข้ากรอบ
4. สถิติยังคงอยู่
หลังพิชิต เบรนท์ฟอร์ด ได้แบบน่าใจหายใจคว่ำเนื่องจากไม่อาจเช็กบิลลูกปิดเกมได้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังรักษาสถิติชนะรวดในเกมลีกที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซีซั่นนี้ได้แบบ 100% ต่อไปหากพวกเขาได้ประตูนำหน้าทีมเยือนก่อนใน 45 นาทีแรก
จากผลงานของ แรชฟอร์ด ทำให้ ผีแดง เพิ่มสถิติชนะรวด 9 นัดแล้วโดยไม่มีเสมอ หรือแพ้ให้กับอาคันตุกะหน้าไหนเลยหากพวกเขามีสกอร์ที่เหนือกว่าหลังจบครึ่งแรก
ขณะเดียวกัน ถ้านับรวมเกมใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นก่อนหน้านี้เข้าไปด้วย แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่แพ้ในบ้านหากเป็นฝ่ายนำหน้าทีมเยือนใน 45 นาทีแรกได้นานถึง 128 นัดเข้าไปแล้ว (ชนะ 110 นัด เสมอ 18นัด) นับตั้งแต่พวกเขาเสียท่าให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ 5-3 เมื่อวันที่ 21 ก.ย.2014
5. ท็อปโฟร์ยังวางใจไม่ได้
ว่ากันถึงฟอร์มปัจจุบัน แมนฯ ยูไนเต็ด ยังดูกระท่อนกระแท่นกว่าจะกำชัยได้ในแต่ละนัด แม้สามแต้มที่ได้มาจาก เบรนท์ฟอร์ด จะทำให้พวกเขาขยับขึ้นสู่อันดับสี่ของตารางโดยมีแต้มเท่ากับ นิวคาสเซิ่ล แต่ผลต่างประตูได้เสียที่เป็นรอง สาลิกาดง บานเบอะซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าห่วงแทนทีมของ เทน ฮาก ไม่น้อยเลย
ดังจะเห็นว่า ผีแดง ประสบกับปัญหาในด้านการจบสกอร์ และมักพึ่งพา แรชฟอร์ด เป็นหลักซึ่งหากศูนย์หน้าผิวสีล้มเจ็บหนักเมื่อไหร่ก็เชื่อได้เลยว่าทีมจาก โรงละครแห่งความฝัน จะได้รับผลกระทบอย่างมหาศาลในเมื่อเกมฟุตบอลตัดสินกันที่การยิงประตูเป็นสำคัญ
และถึงขณะนี้ซึ่งเกมล่วงเลยมาถึงช่วงท้ายซีซั่นแล้ว มันแสดงให้เห็นว่า เทน ฮาก ไม่อาจแก้ปัญหาในจุดนี้ได้ และทำให้ ผีแดง ต้องมาลุ้นหนักในการคว้าตั๋ว แชมเปี้ยนส์ลีก เนื่องจาก สเปอร์ส ยังมีโอกาสเบียดขึ้นสู่อันดับสี่แม้พวกเขาจะเสียเปรียบที่ลงเล่นไปมากกว่าก็ตามที
พูดให้เห็นภาพกันชัดๆเลยก็คือสี่เกมหลังในลีก แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงประตูได้แค่เม็ดเดียวเท่านั้น และเก็บได้แค่สี่จาก 12 แต้มซึ่งถือว่าน่าเสียวไส้แทนกุนซือดัตช์อยู่เหมือนกันหากลูกทีมจะเล่นได้ด้วยฟอร์มที่ตกลงไปอย่างต่อเนื่อง
และที่แน่ๆ บอกเลยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงประตูได้จุ๋มจิ๋มที่สุดในบรรดาทีมเก้าอันดับแรกของตาราง พรีเมียร์ลีก เนื่องจากพวกเขาสอยตาข่ายได้แค่ 42 ลูกเท่านั้น มีเพียง แอสตัน วิลล่า ทีมอันดับเจ็ดทีมเดียวจริงๆที่ทำผลงานในด้านนี้ได้แย่กว่าที่จำนวน 39 ประตู แม้กระทั่ง เดอะ บีส์ ทีมอันดับเก้ายังส่งบอลเข้าประตูคู่แข่งได้มากกว่า ผีแดง เลยที่จำนวน 46 ประตู ฉะนั้นแล้วขืน แมนฯ ยูไนเต็ด ยังยิงนกตกปลากันแบบนี้ต่อไปรับรองว่าพวกเขาจะต้องเหนื่อยหนักแน่ต่อการพยายามยึดอันดับท็อปโฟร์หลังจบซีซั่น
อย่างเกมชนะ เบรนท์ฟอร์ด 1-0 แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ยิงรวมกัน 18 ครั้ง แต่เข้ากรอบแค่ 3 ครั้งแม้จะครองบอลได้ดีกว่า 65:35% ขณะที่ทีมเยือนได้ยิงทั้งสิ้น 6 ครั้ง แต่เกมนี้ทีม เดอะ บีส์ ลดพิษสงลงไปเยอะเนื่องจากส่งบอลเข้ากรอบแค่หนเดียว ทว่าในเมื่อ ผีแดง ได้ยิงแล้วยิงอีก แถมได้เตะมุมมากถึง 12 ครั้งด้วย แต่ในเมื่อเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูได้แค่หนึ่งครั้งถ้วนซึ่งเสี่ยงต่อการโดนทวงคืนทุกขณะ มันจึงเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่ เทน ฮาก สมควรติวเข้มนักเตะให้ความสำคัญในจุดนี้ให้มากที่สุดเพราะถือเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างแน่นอนหากพวกเขาจะยิงลูกตอกฝาโลงคู่แข่งไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น