ภารกิจของลิเวอร์พูลต่อจากนี้

ภารกิจของลิเวอร์พูลต่อจากนี้
ความพ่ายแพ้ต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อคืนวันเสาร์สร้างความผิดหวังให้เดอะค็อปไม่น้อยเลยครับ

การแพ้ขาดลอยถึง 1-4 นั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่เชื่อว่าที่แฟนบอลลิเวอร์พูลส่วนใหญ่ผิดหวังที่สุดคือปฏิกิริยาตอบสนองที่แย่อย่างไม่น่าเชื่อ

โดยเฉพาะในครึ่งหลัง

ผมพยายามมองว่ามันเป็นหนึ่งในเกมที่อะไรก็แย่ไปหมด ทีมฟุตบอลแต่ละทีมล้วนเคยเจอประสบการณ์อย่างนั้น คือตัวเองไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นมันเลวร้าย เลวร้ายทั้งฟอร์มการเล่น เลวร้ายทั้งผลการแข่งขันที่ออกมา

เป็นวันแย่ๆ วันหนึ่งที่ดูไร้เรี่ยวแรง มองไปทางไหนก็เจอแต่เสียงถอนหายใจ

45 นาทีหลังของเกมที่เอติฮัด สเตเดี้ยมก็คงเป็นลักษณะอย่างนั้น นักเตะลิเวอร์พูลกลายเป็นแมวเชื่องๆ ให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไล่ต้อนเอาแบบตามใจชอบ และมันอาจจะเป็นครึ่งเวลาที่นักเตะเรือใบสีฟ้าพบว่าเป็นภารกิจที่ราบรื่นเกินคาด

ครึ่งแรกกับครึ่งหลังต่างกันเหมือนคนละเกม ช่วงพักครึ่งเวลาเดอะค็อปยังคาดหวังได้ด้วยซ้ำถึงการบุกน็อกรองจ่าฝูงและแชมป์เก่าคาบ้าน ย้ำแค้นทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ด้วยการเอาชนะได้แบบไป-กลับ เพราะเกมแดนหลังของซิตี้เปิดพื้นที่โล่งให้จังหวะโต้กลับได้โจมตีหลายครั้ง

การครองบอลแม้จะเป็นของซิตี้แต่ลิเวอร์พูลตั้งรับได้ดีมีสมาธิ หาโอกาสตอบโต้ได้ตลอด มีเป้าหมายในการเล่นชัดเจน โกดี้ คักโป เชื่อมเกมด้วยการลงมาเอาบอลแล้วพลิกกระชากขึ้นไปเองได้อย่างน่าน่าสนใจ บทบาทตรงนี้ของดาวเตะดัตช์เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ลิเวอร์พูลเล่นได้มั่นใจแม้จะครองบอลน้อยกว่าและถูกกดดันจากเกมด้านข้างของเจ้าถิ่นทั้ง กรีลิช และ ริยาด มาห์เรซ ซิตี้อาจจะขาดตัวรุกคนสำคัญทั้ง ฟิล โฟเด้น และ เออร์ลิง ฮาลันด์ แต่คุณภาพของพวกเขายังคงอัดแน่นและยังคงรักษาบุคลิกการเล่นไว้อย่างชัดเจนด้วยบอลสั้นเร็วและการเคลื่อนหาพื้นที่

ผมชอบประตูขึ้นนำของลิเวอร์พูลที่กล้าต่อบอลอย่างมั่นใจไม่ลนลาน ผ่านบอลไปเรื่อยๆ ในแดนตัวเองแล้วในทันใดนั้น เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็ตวัดยาวตูมเดียวโชต้าได้หลุดเดี่ยวทันที

เป็นการเปลี่ยนจังหวะของเกมที่แม่นยำและเด็ดขาด จังหวะจบของซาลาห์ก็ได้โชต้าที่พิง มานูเอล อคานจี ไว้จนหมดสิทธิ์พุ่งมาขวาง

วิธีการเล่นของทั้งสองทีมทำให้ต่างฝ่ายต่างก็มีโอกาสทำประตูกันได้ทั้งคู่ สกอร์เกือบจะขยับเป็น 2-0 ให้ลิเวอร์พูลก่อนด้วยซ้ำถ้า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไหลบอลลูกนั้นผ่านการสกัดของ แจ๊ค กรีลิช ไปถึง ดีโอโก้ โชต้า ได้ และซิตี้ก็แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของพวกเขาว่าถ้าคุณลงโทษผมไม่ได้ ผมจะเป็นฝ่ายลงโทษคุณเอง ประตูตีเสมอ 1-1 เป็นประตูในลักษณะของทีมเรือใบสีฟ้าโดยแท้

กระนั้นลิเวอร์พูลในครึ่งแรกก็น่าพอใจตรงที่พวกเขาต่อสู้อย่างมีชั้นเชิง ครองบอลน้อยกว่าแต่ไม่ได้ถูกกดหรือบดขยี้จนโงหัวไม่ขึ้น ทุกการออกบอกมีลุ้นเสมอ การผ่านบอลจังหวะเดียวของ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ให้ซาลาห์หลุดขึ้นไปลุ้นประตู 2-0 นั้นยอดเยี่ยม เป็นการจ่ายบอลที่เข้าใจสถานการณ์ว่าวินาทีนั้นไม่ต้องเสียเวลาจับบอลมองหาเพื่อนอีกแล้ว

เจอร์เก้น คล็อปป์ วางเกมด้วยระบบ 4-2-3-1 เหมือนนัดแรกที่เฉือนชนะ 1-0 ในแอนฟิลด์ เอลเลียตต์ที่ทำได้ดีในเกมนั้นกับบทบาทหน้าขวาช่วยบล็อกการขึ้นเกมทางฝั่งซ้ายของซิตี้ได้เล่นในตำแหน่งนี้อีกครั้ง ปรับกองกลางตัวรุกจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ มาเป็น คักโป และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยืนคู่ ฟาบินโญ่ แทน ติอาโก้ อัลกันตาร่า

ระบบการเล่นเหมือนเดิม และเกมในครึ่งแรกไม่มีอะไรวี่แววของสิ่งที่ทุกคนจะได้เห็นในครึ่งหลัง ทุกคนยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี

นั่นล่ะครับคือเรื่องที่น่าเสียดายที่สุด เพราะจากที่ยังดีๆ อยู่ในครึ่งแรก ลิเวอร์พูลกลับเล่นไม่เหมือนเป็นตัวเองเลยในครึ่งหลัง คล้ายความมั่นใจที่มีในครึ่งแรกสูญสลายไปโดยฉับพลัน ประตู 1-2 ที่เสียเร็วตั้งแต่นาทีแรกของครึ่งหลังไม่ใช่ข้ออ้าง ด้วยมันยังมีเวลาอีกเหลือเฟือที่จะกลับมา แต่ลิเวอร์พูลกลับช็อกและช็อตกันไปเอง

เกมหลังจากประตู 2-1 กลายเป็นห่างชั้นกันอย่างไม่น่าเชื่อ ซิตี้ครองบอลเข้าหาเหมือนเดิมแต่ลิเวอร์พูลไม่มีความมั่นใจในการเข้าแย่งบอลเหมือนครึ่งแรกอีกแล้ว จังหวะสองก็ยังขาดๆ เกินๆ จะคิดจะทำอะไรดูลุกลี้ลุกลนไปหมด บอลแรกจังหวะเดียวที่เคยมีก็หายไป ความชัดเจนในการเล่นแบบที่รู้ว่าจังหวะนั้นจะทำอะไรก็หายไป กลายเป็นบอลที่ไร้ความแน่นอนแล้วก็เสียการครอบครองให้เจ้าบ้านเอากลับมาบุกใส่อีกครั้งต่อเนื่อง

ตั้งหลักไม่ได้ โต้กลับไม่ได้ การควบคุมสถานการณ์มีปัญหา ลักษณะการเล่นจึงออกมาเป็นอย่างนั้นคือพยายามประคองตัวเอง ไม่กล้าเข้าบอล ยืนจ้องปล่อยให้นักเตะซิตี้ผ่านบอลกันไปมาตามใจชอบ หรือกระทั่งได้บอลแล้วไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมัน ตื้อตัน คิดไม่ออก

ซิตี้เองก็ครองเกมไปเรื่อยๆ ไม่เร่งทำ เคาะบอลไปมาวางข้ามซ้ายขวามองหาโอกาสที่เหมาะสม เพราะความได้เปรียบเป็นของพวกเขาแล้ว และยิ่งซิตี้ไม่เร่งเกมก็ยิ่งแย่งบอลพวกเขายากขึ้นไปอีกจากคุณภาพของบอลเท้าต่อเท้า จะเข้าแย่งก็ไม่มั่นใจกลัวถูกหลบได้ จะตอบโต้อย่างครึ่งแรกก็ทำไม่ได้ด้วยโมเมนตัมหายไปแล้ว

ใช้คำว่า "ตื้อ" และ "มึน" น่าจะเหมาะสมอยู่เหมือนกับสภาพของลิเวอร์พูลในครึ่งหลัง กระทั่งคล็อปป์ยังบอกว่าซิตี้นั้นครองเกมได้แบบ "Completely" คือเบ็ดเสร็จ

สิ่งที่เราคาดหวังว่าควรจะเกิดขึ้นและอันที่จริงมันก็ควรจะเกิดขึ้นก็คือนักเตะลิเวอร์พูลไล่บี้ในทุกจังหวะเพื่อเอาบอลมาบุกใส่เจ้าถิ่น โหมให้หนักขึ้น กดดันซิตี้จนต้องประคองสถานการณ์เพื่อเอาตัวรอด ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่แฟนบอลจะผิดหวังกับสิ่งที่เห็นเนื่องจากภาพเหล่านั้นไม่เกิดขึ้นเลย

ภารกิจของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้เหลือเพียงการลุ้นพื้นที่ 4 อันดับแรกของลีก ความยากของมันในตอนนี้น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับฤดูกาล 2020/21 ที่ต้องเร่งเครื่อง 10 นัดสุดท้ายไม่แพ้ใครและชนะรวดใน 5 เกมหลังสุดรวมทั้งลูกโหม่งปาฏิหาริย์จากอลีสซง เบ็คเกอร์

ยากราวๆ นั้น หรืออาจจะยากยิ่งกว่านั้น ถ้าดูจากสภาพการเล่นเฉพาะในครึ่งหลังของเกมล่าสุด

แน่นอนครับ ความตื่นเต้นใหญ่ๆ ของเดอะค็อปคงจะอยู่ที่ช่วงปิดฤดูกาล การหมดสัญญาของ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน นาบี เกอิต้า เจมส์ มิลเนอร์ และอายุที่มากขึ้นของเฮนเดอร์สัน ติอาโก้ ฟาบินโญ่ ทำให้คล็อปป์และทีมงานจะลงตลาดเสริมผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางค่อนข้างแน่

แต่ฤดูกาลนี้ก็ยังเหลืออีกถึง 11 เกม และโควต้าแชมเปี้ยนส์ ลีกก็ยังเป็นเป้าหมายที่สำคัญมาก ยังต้องทุ่มเทคว้ามันมาให้ได้อยู่เหมือนเดิม

ฤดูกาล 2020/21 ลิเวอร์พูลรูดลงไปอยู่อันดับ 8 หลังแพ้ฟูแล่มคาแอนฟิลด์ในเกมที่ 28 ของฤดูกาล มันคือการแพ้ในบ้านเป็นนัดที่ 6 ติดต่อกัน และเป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นในประวัติศาสตร์สโมสร เก็บได้แค่ 3 คะแนนในการลงสนาม 7 นัดหลังสุด

เหลือเกมเตะอีก 10 นัด ความหวังแทบไม่มีเหลือ แต่สุดท้ายจะด้วยปาฏิหาริย์ ความน่าเหลือเชื่อ หรืออะไรก็ตามแต่ ลิเวอร์พูลทำได้ ทั้งยังทำได้ดีถึงขั้นขึ้นไปจบที่อันดับสาม

ฤดูกาลนี้เหลือ 11 เกม อย่างน้อยมันก็ยังมีโอกาสมากกว่าคราวนั้นอยู่อีกเกมและฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ทีมที่แพ้ติดๆ กันมาอยู่ดีๆ คืนฟอร์มชนะรวดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยก็เห็นกันนักต่อนัก เพียงแต่ความยุ่งยากที่เพิ่มขึ้นก็คือฤดูกาลนั้นหลังจากแพ้ฟูแล่มแล้วลิเวอร์พูลยังอยู่ห่างจากอันดับสี่ 4 แต้ม เปรียบเทียบกับเวลานี้ที่ห่าง 7 แต้ม งานที่เผชิญอยู่จึงสาหัสอย่างยิ่ง

ก็คงต้องลุ้นกันไปแบบเกมต่อเกมครับ อังคารนี้เจอเชลซีคงต้องบอกว่าเป็นมวยถูกคู่เหลือเกิน ฉะกันตอนนี้น่ะสงครามของคนหัวอกเดียวกันแท้ๆ เลย

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport