ชัดเจนแล้วว่าการลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022/23 เป็นการแย่งชิงกันของม้าสองตัวระหว่าง อาร์เซน่อล ทีมจ่าฝูง และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับสอง ที่มีดีกรีเป็นแชมป์เก่า ซึ่งแน่นอนว่า ช่วงนี้เป็นช่วงของโปรแกรมเกมทีมชาติ แต่หลังจากนั้นถือว่าน่าสนใจมาก โดยเฉพาะช่วง 6 เกมหลังจากนี้ ซึ่งอาจจะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าแล้วเราไปวิเคราะห์โปรแกรมช่วงดังกล่าวของทั้งสองทีมกันดูว่ายาก-ง่ายเพียงใด
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (อันดับ 2, 61 แต้ม จาก 27 นัด)
- ลิเวอร์พูล (เหย้า) : 1 เม.ย.
- เซาธ์แฮมป์ตัน (เยือน) : 8 เม.ย.
- เลสเตอร์ ซิตี้ (เหย้า) : 15 เม.ย.
- อาร์เซน่อล (เหย้า) : 26 เม.ย.
- ฟูแล่ม (เยือน) : 30 เม.ย.
- ลีดส์ ยูไนเต็ด (เหย้า) : 6 พ.ค.
ด้วยการที่ แมนฯ ซิตี้ ยังคงอยู่บนเส้นทางลุ้นแชมป์ เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วย ทำให้กุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จำเป็นต้องบริหารทีมให้ดีและระมัดระวัง ซึ่งเรื่องนี้เจ้าตัวถือว่าทำได้ดีอยู่แล้ว แถม "เรือใบสีฟ้า" มีทีมขนาดใหญ่พอด้วย จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
แมนฯ ซิตี้ คว้าชัยรวดใน 6 เกมหลังสุด (รวมทุกรายการ) แถมกดคู่แข่งไปถึง 23 ประตู เสียแค่ประตูเดียว ถือว่ากำลังอยู่ในโหมดที่โหดมากๆ น่าเสียดายที่มีโปรแกรมทีมชาติมาขั้น ทำให้ต้องลุ้นกันอีกทีว่า มันจะมีผลทำให้ฟอร์มเก่งขาดช่วงหรือเปล่า
สำหรับโปรแกรม 6 เกมต่อไปในลีกของ แมนฯ ซิตี้ เปิดฉากด้วยการเจอของหนักทันที เพราะต้องเปิดบ้านดวลกับ ลิเวอร์พูล ที่แม้ผลงานในซีซั่นนี้ต่ำกว่ามาตรฐานไปมาก แต่ "หงส์แดง" มักทำได้ดีเสมอในเกมใหญ่ ดังนั้น "เรือใบสีฟ้า" ประมาทไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าเกมนี้ทีมของ เป๊ป คว้าสามแต้มได้ ก็จะถือเป็นโมเมนตัมและการเปิดหัวที่ดีมากๆ เพราะหลังจากนั้น 5 เกม มองแบบรวมๆ ถือว่าไม่โหดร้ายจนเกินไป แถมมีเกมที่จะต้องดวลกับ อาร์เซน่อล โดยตรงด้วย
ข้อได้เปรียบของ แมนฯ ซิตี้ ในเกมดวล "ไอ้ปืนใหญ่" คือ พวกเขาได้เตะที่บ้านตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าพวกเขาโกยหกคะแนน จากเกมที่เจอกับ ลิเวอร์พูล และ อาร์เซน่อล ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากช่วง 6 เกมนี้ พวกเขาเก็บได้แบบเน้นๆ 18 คะแนนเต็ม เพราะการเจอ เซาธ์แฮมป์ตัน, เลสเตอร์ ซิตี้, ฟูแล่ม และ ลีดส์ ยูไนเต็ด คงไม่ได้ลำบากอะไรมาก
อาร์เซน่อล (อันดับ 1, 69 แต้ม จาก 28 นัด)
- ลีดส์ ยูไนเต็ด (เหย้า) : 1 เม.ย.
- ลิเวอร์พูล (เยือน) : 9 เม.ย.
- เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (เยือน) : 16 เม.ย.
- เซาธ์แฮมป์ตัน (เหย้า) : 21 เม.ย.
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (เยือน) : 26 เม.ย.
- เชลซี (เหย้า) : 29 เม.ย.
ข้อได้เปรียบสำหรับ อาร์เซน่อล คือ ณ ตอนนี้พวกเขาสามารถเน้น และพุ่งสมาธิไปที่เกมลีกได้เต็มที่ เพราะรายการอื่นๆ หลุดวงโคจรไปหมดแล้ว แต่ถึงกระนั้น 6 เกมในลีกต่อจากนี้ หากมองตามหน้ากระดาษ ถือว่า "ไอ้ปืนใหญ่" เจอหนักกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เล็กน้อย เพราะนอกจากต้องเจอกับ แมนฯ ซิตี้ โดยตรงแล้ว ยังต้องดวลกับของแข็งอย่าง ลิเวอร์พูล และ เชลซี อีกด้วย แถมสามเกมดังกล่าวนี้ มีแค่เกมเดียวเท่านั้นที่ได้เล่นในบ้านตัวเอง ซึ่งนั่นก็คือการเจอกับ "สิงห์บลูส์"
การออกไปเยือน แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ถือเป็นสองเกมอันตรายที่ทีมของกุนซือ มิเกล อาร์เตต้า อาจเพลี่ยงพล้ำได้ และถือเป็นสองเกมสำคัญที่สามารถชี้วัดได้ว่า อาร์เซน่อล ชุดนี้ ดีพอเป็นแชมป์หรือยัง เพราะถ้าสองเกมนี้ พวกเขาคว้าชัยได้หมด ถ้วยแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 19 ปี คงไม่หลุดลอยไปไหน หรืออย่างน้อยพยายามไม่แพ้ก็ยังดี
เกมกับ เชลซี แม้เป็นการเตะที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม แต่ก็ถือเป็นเกมที่ อาร์เซน่อล ประมาทไม่ได้เช่นกัน เพราะมันคือดาร์บี้แมตช์แห่งกรุงลอนดอน ที่ "สิงห์บลูส์" ไม่ยอมง่ายๆ แน่นอน
นอกนั้นอีกสามเกมที่เจอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด, เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ เซาธ์แฮมป์ตัน หากไม่มีอะไรผิดพลาดหรือเกิดเหตุการณ์พลิกล็อก อาร์เซน่อล ก็น่าจะเก็บชัยได้หมด ซึ่งถือเป็นเรื่องโชคดีที่เป็นการได้เตะในบ้านถึงสองเกม
ฟันธง : ดูตามโปรแกรมดังกล่าว ต้องยอมรับว่า อาร์เซน่อล เจองานหนักกว่านิดๆ โดยเฉพาะการเจอกันเองกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นเกมที่สำคัญมาก ดังนั้นช่วงนี้ "ความนิ่ง" ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่ง และถ้าพูดถึงเรื่องนี้แล้ว แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป น่าจะดูดีกว่า เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 หรือ 5 เกมสุดท้ายของฤดูกาล "เรือใบสีฟ้า" น่าจะลดช่องว่างลงมาได้ คงไม่ไล่ตาม "ไอ้ปืนใหญ่" 8 แต้ม เหมือนตอนนี้ แถมมีเกมในมืออีกนัดด้วย เชื่อว่าการลุ้นแชมป์จะเข้มข้นขึ้น เมื่อเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย
Subinho